RSV คืออะไร? วิธีป้องกัน RSV ในเด็กแรกเกิด – 2 ขวบ พร้อมวัคซีนและภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป

RSV คืออะไร? วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงในเด็กแรกเกิด – 2 ขวบ

RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายและมักระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว RSV เป็นสาเหตุหลักของโรคปอดอักเสบและหลอดลมอักเสบในเด็กเล็ก ทำให้เกิดอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

เด็กที่ติดเชื้อ RSV ส่วนใหญ่อาจมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ในบางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้หายใจลำบากและต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ ด้วยเหตุนี้ การป้องกัน RSV ในเด็กแรกเกิดถึง 2 ปีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านวัคซีนและภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป

ทำไมการป้องกัน RSV ในเด็กเล็กจึงสำคัญ?

เด็กเล็กมีความเสี่ยงสูง: เด็กในช่วง 2 ขวบปีแรก กว่า 90% มีโอกาสติดเชื้อ RSV อย่างน้อย หนึ่งครั้ง โดยมากกว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และบางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้าห้องไอซียู (ICU) และใส่ท่อช่วยหายใจ
RSV เป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงในเด็ก: RSV เป็นหนึ่งใน 3 สาเหตุหลัก ของ ปอดอักเสบติดเชื้อ และ หลอดลมอักเสบ ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่อาการรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต
การป้องกันที่มีประสิทธิภาพ: ปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงจาก RSV ได้ด้วย ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ซึ่งสามารถให้กับเด็กตั้งแต่ แรกเกิดถึง 2 ปี โดยมีประสิทธิภาพดังนี้:
✅ ลดโอกาสติดเชื้อ RSV ได้ 79.5%
✅ ลดการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ได้ 83.2%
✅ ลดความรุนแรงและการเข้าห้อง ICU ได้ 75.3%

RSV อาการเริ่มแรก เด็กควรสังเกตอาการอะไรบ้าง?

RSV อาการเริ่มแรกในเด็กอาจมีลักษณะคล้ายไข้หวัดทั่วไป ซึ่งทำให้หลายคนอาจมองข้ามและไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม อาการ RSV ในเด็กสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ดังนั้นการสังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะรุนแรงของโรคนี้

อาการ RSV ในเด็กเบื้องต้น

น้ำมูกไหล ไอ จาม คล้ายอาการไข้หวัด
ไวรัส RSV มักเริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งอาจทำให้ผู้ปกครองเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงโรคหวัดธรรมดา เด็กอาจมีน้ำมูกใสในช่วงแรกและกลายเป็นข้นเมื่ออาการดำเนินต่อไป อาการไออาจเริ่มแห้งและพัฒนาเป็นไอมีเสมหะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น
มีไข้ต่ำหรือไข้สูง
เด็กที่ติดเชื้อ RSV อาจมีไข้ตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงสูง โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การมีไข้เป็นสัญญาณของร่างกายที่พยายามต่อสู้กับการติดเชื้อ ควรสังเกตอาการร่วม เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือซึมผิดปกติ หากไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียสและไม่ลดลงหลังจากให้ยาลดไข้ ควรพาไปพบแพทย์ทันที

หายใจลำบากหรือหายใจมีเสียงหวีด
เด็กบางรายที่ติดเชื้อ RSV อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเชื้อไวรัสส่งผลต่อปอดและหลอดลมขนาดเล็ก เสมหะที่สะสมอาจทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ส่งผลให้เด็กหายใจลำบากหรือมีเสียงหวีดขณะหายใจ หากพบว่าเด็กมีอาการหายใจหอบ หรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
รับประทานอาหารได้น้อยลง
RSV อาจทำให้เด็กมีอาการเบื่ออาหารและรับประทานได้น้อยลง เนื่องจากความไม่สบายตัวจากอาการไข้ น้ำมูกไหล และหายใจติดขัด หากเด็กไม่ยอมกินนม หรือดื่มน้ำได้น้อย ควรสังเกตว่ามีอาการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะลดลง หรืออ่อนเพลียผิดปกติ
งอแง ร้องไห้มากขึ้น
เด็กเล็กที่ติดเชื้อ RSV อาจมีอาการงอแงผิดปกติ เนื่องจากรู้สึกไม่สบายตัว มีไข้ หรือหายใจลำบาก อาจร้องไห้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะเวลากลางคืน นอกจากนี้ อาการอ่อนเพลียและไม่สามารถนอนหลับสนิทอาจทำให้เด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
นอนหลับไม่สนิท
RSV อาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนของเด็ก เนื่องจากอาการน้ำมูกอุดตัน หายใจลำบาก และไอเป็นระยะ เด็กอาจตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง หรือมีภาวะหยุดหายใจชั่วคราวในขณะนอนหลับ หากพบว่าเด็กมีปัญหาในการหายใจขณะนอน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีช่วยบรรเทาอาการ

อาการรุนแรงของโรค RSV ในเด็ก

หาก RSV ลุกลามจนเกิดการติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ อาจสังเกตเห็นอาการต่อไปนี้:
หายใจหอบ ถี่ หรือหยุดหายใจเป็นช่วงๆ
อาการหายใจหอบเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าระบบทางเดินหายใจของเด็กได้รับผลกระทบจาก RSV อย่างรุนแรง การติดเชื้อไวรัสอาจทำให้หลอดลมอักเสบและมีเสมหะสะสมในปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง หากเด็กหายใจเร็วมากผิดปกติหรือมีช่วงที่หยุดหายใจชั่วขณะ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
ตัวเขียว โดยเฉพาะรอบปากและเล็บ
ภาวะตัวเขียวเกิดจากการขาดออกซิเจนในเลือด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อ RSV ที่ทำให้ปอดไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การสังเกตบริเวณริมฝีปาก ปลายเล็บมือ และเล็บเท้าเป็นสิ่งสำคัญ หากพบว่ามีสีคล้ำหรือเปลี่ยนเป็นสีม่วง ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส (โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน)
RSV อาจทำให้เกิดไข้สูง ซึ่งในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน การมีไข้สูงถือเป็นอาการที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานไวรัส หากอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ควรให้ยาลดไข้และรีบนำเด็กไปพบแพทย์
จมูกบานหรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ
หากเด็กมีอาการจมูกบานหรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ แสดงว่าเขากำลังพยายามหายใจอย่างหนัก ซึ่งอาจเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนล่าง อาการนี้มักพบในเด็กที่มีการติดเชื้อ RSV รุนแรง การสังเกตว่าหน้าอกบุ๋มหรือไม่สามารถทำได้โดยดูขณะเด็กหายใจ หากเห็นกระดูกซี่โครงยุบตัวลงอย่างชัดเจน ควรรีบพาเด็กไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาลทันที

3 ขั้นตอนการจองสิทธิ์ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันไวรัส RSV

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV สำหรับทารกแรกเกิด – 24 เดือน
📌 จองสิทธิ์ล่วงหน้า มัดจำเพียง 5,000 บาท

✅ 1 เข็ม เพียง 17,490 บาท (ปกติ 24,100 บาท)
👉 สำหรับทารกแรกเกิด – 12 เดือน

✅ 2 เข็ม เพียง 34,200 บาท (ปกติ 48,200 บาท)
👉 สำหรับทารกอายุ 12 – 24 เดือน

📅 จองได้ถึง 18 เมษายน 2568 เท่านั้น!
📅 เริ่มทำนัดฉีด พฤษภาคม 2568 ก่อนฤดูกาลระบาด

โรค RSV ในเด็ก แพร่กระจายอย่างไร?

RSV สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่าน:
• การสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย น้ำมูก
• การหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อ RSV
• การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสแล้วนำมาสัมผัสจมูกหรือปาก
• โรค RSV ในเด็กมักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสเจริญเติบโตได้ดี

วิธีป้องกันโรค RSV ในเด็กทั่วไป

• หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
• หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปสถานที่แออัด
• ทำความสะอาดของเล่นและของใช้เด็กเป็นประจำ
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้หวัด

วัคซีน RSV และภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab

• ปัจจุบัน มีการใช้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้ทันทีหลังฉีด โดยให้ผลป้องกันได้สูงถึง 79.5% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ถึง 83.2%
• RSV เป็นไวรัสที่สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนดหรือเด็กที่มีโรคประจำตัว ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จึงได้พัฒนาภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปNirsevimab ซึ่งเป็นแอนติบอดีชนิดเฉพาะที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Nirsevimab เป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่ทำงานโดยตรงกับเชื้อ RSV ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนทั่วไปที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเอง ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปนี้สามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันทีหลังฉีด ปัจจุบัน มีการใช้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้ทันทีหลังฉีด โดยให้ผลป้องกันได้สูงถึง 79.5% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ถึง 83.2%

การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปนี้สามารถครอบคลุมฤดูกาลระบาดของ RSV ได้ยาวนานประมาณ 5 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสมากที่สุด ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้ทันทีหลังฉีด โดยให้ผลป้องกันได้สูงถึง 79.5% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ถึง 83.2%

อายุที่สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV สามารถฉีดให้กับเด็กตั้งแต่ แรกเกิด – 2 ปี โดยสามารถฉีดได้ทันทีในช่วง ฤดูกาลระบาด เนื่องจากสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันทีหลังฉีด ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำแนวทางการฉีดดังนี้:

ฤดูกาลแรก (เด็กอายุแรกเกิด – 12 เดือน)

• เด็กแรกเกิดแข็งแรงดีทุกคน: แนะนำให้ฉีดในทารกอายุต่ำกว่า 8 เดือน ทุกราย และอาจพิจารณาฉีดในทารกอายุ 8 – 12 เดือน เนื่องจากกลุ่ม แรกเกิด – 8 เดือน มีโอกาสนอนโรงพยาบาลจาก RSV สูงกว่ากลุ่ม 8 – 12 เดือน ถึง 94%
• เด็กกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (แรกเกิด – 12 เดือน):
– ทารกที่มี โรคปอดเรื้อรังจากภาวะคลอดก่อนกำหนด (BPD) และยังได้รับการรักษาด้วย สเตียรอยด์, ยาขับปัสสาวะ หรือออกซิเจน ในช่วง 6 เดือนก่อนฤดูกาลระบาด
– เด็กที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง
– เด็กที่เป็น โรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) รุนแรง เช่น เคยต้องรักษาในโรงพยาบาลจากโรคปอดในปีแรกของชีวิต มีภาพถ่ายทรวงอกผิดปกติ หรือมีภาวะทุพโภชนาการ (น้ำหนักต่ำกว่า 10th percentile)
– เด็กที่มี โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ยังต้องรับการรักษา (Hemodynamically significant congenital heart disease)
• ช่วงเวลาที่แนะนำ: ฉีดในช่วง มิถุนายน – ตุลาคม ของทุกปี
• ทารกที่เกิดในช่วงฤดูกาลระบาด สามารถรับภูมิคุ้มกันได้ทันทีหลังคลอด
• ขนาดยาแนะนำ:
ขนาดยาและการฉีดขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและอายุของเด็ก ต้องได้รับการประเมินโดยกุมารแพทย์ ก่อนรับภูมิคุ้มกันทุกครั้ง

ฤดูกาลที่สอง (เด็กอายุ 12 – 24 เดือน)

• เด็กแข็งแรงดีทุกคน: แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 12 – 24 เดือน
• เด็กกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV:
– เด็กอายุ 12 – 19 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV รุนแรง
– เด็กอายุ 19 – 24 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงรุนแรง อาจพิจารณาฉีดเพิ่มเติม
• ขนาดยาแนะนำ:
ขนาดยาและการฉีดขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและอายุของเด็ก ต้องได้รับการประเมินโดยกุมารแพทย์ ก่อนรับภูมิคุ้มกันทุกครั้ง

ความปลอดภัยของการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)

Nirsevimab เป็น ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ที่ได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงพบได้น้อย และไม่มีรายงานภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยอาการที่อาจพบหลังฉีดมีดังนี้:
ผลข้างเคียงที่พบได้แต่น้อย
1.มีไข้เล็กน้อย (0.5%)
2.ปวดหรือบวมบริเวณที่ฉีด (0.3%)
3.ผื่นขึ้น (0.09%)
4.อาเจียน (0.2%)
5.รู้สึกไม่สบายตัว (0.2%)
6.ปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง สามารถฉีดเพื่อปกป้องลูกน้อยจาก RSV ได้อย่างมั่นใจ

ข้อห้ามในการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)

ไม่ควรฉีดในเด็กที่มีประวัติแพ้รุนแรง ต่อ Nirsevimab หรือ ส่วนประกอบของยา ได้แก่:
• Arginine
• Histidine
หมายเหตุ: หากเด็กเคยมีอาการแพ้รุนแรงต่อวัคซีนหรือยาใดๆ ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับการฉีด เพื่อประเมินความปลอดภัยและพิจารณาทางเลือกในการป้องกัน RSV ที่เหมาะสม

ประโยชน์ของการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ในเด็ก

แม้ว่าเด็กจะเคยติดเชื้อ RSV มาก่อน หรือเคยได้รับภูมิคุ้มกันแล้ว การฉีด Nirsevimab ยังคงมีความสำคัญ เนื่องจากให้การป้องกันที่ครอบคลุมและลดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
1. ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจในระยะยาว
– แม้หายจากการติดเชื้อ RSV แล้ว เด็กบางรายอาจยังมี ภาวะหลอดลมไวเกิน, หอบหืด หรือการทำงานของปอดที่บกพร่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคต
– การป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะเหล่านี้ และส่งเสริมสุขภาพทางเดินหายใจที่ดีในระยะยาว
2. ลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว
– RSV เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้เด็กต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากที่สุด การฉีดภูมิคุ้มกันช่วยลดโอกาสการป่วยหนัก ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโดยตรง
– ลดค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น ค่าลาหยุดงานของพ่อแม่ เพื่อมาดูแลลูกที่ป่วย
3. ลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข
– ค่ารักษาพยาบาลสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่ติดเชื้อ RSV ในประเทศไทยสูงถึง 1.75 พันล้านบาทต่อปี
– เด็กที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีระยะเวลาการพักรักษาเฉลี่ย 6 วัน การป้องกัน RSV ด้วย Nirsevimab เป็นทางเลือกที่ช่วยลดภาระทั้งต่อครอบครัวและสังคม ทำให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

สรุปความสำคัญของการป้องกัน RSV ในเด็ก

– ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะในขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV สูง
– เด็กอายุ แรกเกิด – 2 ปี รวมถึงเด็กที่มีโรคประจำตัว สามารถรับ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

3 ขั้นตอนการจองสิทธิ์ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันไวรัส RSV

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV สำหรับทารกแรกเกิด – 24 เดือน
📌 จองสิทธิ์ล่วงหน้า มัดจำเพียง 5,000 บาท

✅ 1 เข็ม เพียง 17,490 บาท (ปกติ 24,100 บาท)
👉 สำหรับทารกแรกเกิด – 12 เดือน

✅ 2 เข็ม เพียง 34,200 บาท (ปกติ 48,200 บาท)
👉 สำหรับทารกอายุ 12 – 24 เดือน

📅 จองได้ถึง 18 เมษายน 2568 เท่านั้น!
📅 เริ่มทำนัดฉีด พฤษภาคม 2568 ก่อนฤดูกาลระบาด

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ยินยอมทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
    เปิดใช้งานตลอด

    เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ของเรา เนื่องจากคุกกี้เหล่านี้ทำให้เว็บเซิร์ฟเวอร์สามารถตอบสนองต่อการกระทำของท่านได้ อีกทั้งยังช่วยในการแสดงผลหน้าเว็บต่อท่าน และยังรวมถึงมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องในระหว่างการท่องเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้จะคงอยู่จนกว่าจะสิ้นสุดการเยี่ยมชมของท่านและจะถูกลบอัตโนมัติทันที
    รายชื่อคุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ

    ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ของเราด้วยจำนวนครั้งการเข้าดูหน้าเว็บและจำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ โดยบริการวิเคราะห์เว็บจะวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้ ซึ่งเราจะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้หรือค้นหาส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ที่ควรได้รับการปรับปรุง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถระบุถึงตัวบุคคลได้ (กล่าวคือ เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถใช้เพื่อระบุตัวตนของท่านและไม่มีการเก็บรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ และที่อยู่อีเมลของท่าน) และข้อมูลเหล่านี้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติเท่านั้น
    รายชื่อคุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ

  • คุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน

    ช่วยให้เรารับรู้เมื่อท่านกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ด้วยข้อมูลนี้เราจึงสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้เป็นไปตามความต้องการของท่านได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเยี่ยมชมของท่านให้มีประสิทธิภาพและเฉพาะเจาะจงสำหรับท่านมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อมูลที่รวบรวมโดยคุกกี้เหล่านี้จะไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้
    รายชื่อคุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา

    จะอยู่บนอุปกรณ์ของท่านเพื่อบันทึกหน้าเว็บไซต์หรือลิงค์ที่ท่านได้เยี่ยมชมหรือติดตาม ข้อมูลที่ได้จะถูกใช้เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเราและแคมเปญโฆษณาของเราเพื่อให้เหมาะกับความสนใจของท่าน
    คุกกี้เพื่อการโฆษณา

บันทึก