หมอกระดูกที่เข้าใจญาติผู้ป่วย
– นายแพทย์ วรพจน์ หงสเลิศพิภพ –
ในวัย 40 ตอนต้น หมอตี๋ นายแพทย์ วรพจน์ หงสเลิศพิภพ แพทย์ประจำศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร โรงพยาบาล BNH นับว่ามีความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีคนไข้ไว้ใจ และมีความสุขกับชีวิตเรียบง่าย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้นั้น เขาคือเด็กจากตลาดที่เคยรับจ้างทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือทางบ้านที่ไม่ค่อยมีฐานะ และอยู่ในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นผู้ป่วยติดเตียงกว่าสิบปี และนี่คือเรื่องราวของเขา
เด็กตลาด
“โตไปทำงานเป็นซินแสนะ มันจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง”

แม้วันนี้อากงจะจากไปนานแล้ว แต่ถ้อยคำภาษาจีนแต้จิ๋วที่อากงชอบพูดให้ฟังยังติดหู หมอตี๋เป็นเด็กชายที่โตมาในตลาดเกิดมาในครอบครัวคนจีน ได้รับการเลี้ยงดูจากอากงผู้ไม่ใช่ญาติ แต่ก็ผูกพันใกล้ชิดราวคนในครอบครัว
“อากงเป็นเหมือนคุณปู่คนนึง คุญพ่อคุณแม่นับถือแกเหมือนเป็นพ่อบุญธรรม แกไกวเปลเลี้ยงผมมาแต่เล็ก รักผมมาก ๆ และเห็นผมเป็นหลานแท้ ๆ เวลาอยู่กับแกต้องพูดภาษาจีนแต้จิ๋ว ตั้งแต่จำได้ตอนเด็ก แกบอกว่าแกนับถือซินแสมาก แกเลี้ยงผมจนถึงมัธยมแล้วผมก็เสียแกไป แต่ผมยังจำคำพูดที่แกบอกได้ดี
“ตอนนี้ก็รู้สึกว่าทำให้แกภูมิใจได้แล้ว”
ซินแส ในภาษาจีนหมายถึงผู้มีความรู้ ไม่ว่าจะเป็นครูหรือหมอ และความปรารถนาที่จะได้ทำตามที่อากงที่เคารพรักฝากฝังไว้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หมอตี๋พาตัวเองมาไกลจากตลาดสดสู่โรงพยาบาล มีหน้าที่การงานที่พาครอบครัวที่เคยลำบากสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
“ครอบครัวผมเป็นคนจีนครอบครัวใหญ่ ครอบครัวค้าขายหมูเห็ดเป็ดไก่ในตลาดวัดดวงแข คุณแม่ก็ขายสัพเพเหระมาก ตอนแม่ขายหมูเขียงในตลาด ผมได้มีโอกาสไปเขียงหมูกับแม่ตั้งแต่เช้าตรู่ เคยนั่งสามล้อไปเยาวราชเพื่อเอาไก่ลงไปขาย เคยเป็นเด็กส่งกาแฟ ส่งก๋วยเตี๋ยว ขนของขายของส่งของยกนู่นนี่ ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำ เรียกว่าเป็นเด็กตลาดมาตลอด”
ชีวิตวัยเด็กของ ด.ช.ตี๋ วนเวียนอยู่แถวตลาด เขาเกิดแถวนั้น โตแถวนั้น เรียนแถวนั้น จากโรงเรียนวัดดวงแข โรงเรียนเทพศิรินทร์ มาจนเป็นคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าชีวิตในตลาดไม่ใช่อุปสรรคหากมีความปรารถนาที่จะใฝ่ดีและพาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ช่วยกันผลักดันให้เขาเลือกเดินในเส้นทางที่ดี ภายใต้แรงสนับสนุนของทางบ้านที่ทุกคนรู้จักแต่การค้าขาย
“พี่น้องบางคนก็ไม่มีโอกาสเรียนสูงเพราะต้องช่วยกิจการทางบ้านเป็นหลัก แต่คุณแม่ผมเขากลับสนับสนุนเต็มที่ เขาไม่เคยบังคับเลย ไม่เคยถามว่าผมอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร พอบอกว่าจะเรียนหมอขอตังค์ไปเรียนพิเศษ ก็รู้ว่ามันมีค่าใช้จ่าย แต่คุณแม่คุณพ่อก็ช่วย ผมเลยพยายามทำให้เงินเขามีค่าที่สุด”
บทเรียนจากวันที่ล้ม
หมอตี๋คือคุณหมออารมณ์ดีที่มักมีรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้า เขาสามารถจัดการความคิดตัวเองได้ดี และมักมองอุปสรรคเป็นความท้าทาย แต่กว่าจะยิ้มได้อย่างทุกวันนี้ เขาก็ผ่านประสบการณ์ที่ยิ้มไม่ออกมาแล้วนับไม่ถ้วน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเขาและทุกคนในครอบครัวเกิดขึ้นเมื่อคุณพ่อผู้เป็นเสาหลักของบ้านล้มลงด้วยอุบัติเหตุรถชนและต้องได้รับการผ่าตัดสมอง แม้จะมีชีวิตรอดแต่ก็พูดไม่ได้และกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแล 100%

“ไม่เป็นไร มาม๊าดูแลได้ มาม๊าอยากให้ปะป๊ามีชีวิตอยู่”
แม่ของหมอตี๋ยืนยันหนักแน่นในวันที่รู้ผลจากแพทย์ว่าสามีที่รักจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม หลังจากนั้นเธอก็ยอมเสียสละทุกอย่าง ไม่สามารถทำงานหาเงินได้เต็มที่ กลายเป็นคนที่ต้องมาอยู่เคียงข้างสามีเพื่อดูแลตลอดเวลา
“บ้านเราไม่ได้มีฐานะ พอคนนึงล้มไปก็ลำบากพอควร แม่เป็นคนที่เสียใจที่สุดและเสียสละที่สุด จากเดิมที่ต้องทำงานจนนอนน้อยอยู่แล้ว ก็นอนน้อยลงไปอีก น้องสาวยังเรียนอยู่มัธยมปลาย พี่ชายเพิ่งเรียนจบ แกก็คว้าโอกาสไปทำงานต่างประเทศเพื่อช่วยครอบครัว
“ตอนนั้นผมเรียนแพทย์ปี 2 ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย ก็ต้องกลับบ้านบ่อยขึ้น ต้องดูแลหลาย ๆ อย่าง ต้องหารายได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่เรียน ต้องมีวุฒิภาวะระดับหนึ่ง พยายามทำให้ครอบครัวเดินไปได้”
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนในบ้านของหมอตี๋ต่างคอยให้กำลังใจกันและกัน และร่วมกันประคับประคองให้แต่ละวันผ่านไปได้อย่างเข้มแข็งที่สุด จนเวลาผ่านมา 16 ปี คุณพ่อก็จากไปโดยธรรมชาติ ทั้งที่ผู้ป่วยติดเตียงโดยปกติ หากดูแลไม่ดีพอก็อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
“คุณแม่เก่งมาก ไม่ไปไหนเลย ไม่เที่ยว ดูแลคุณพ่ออย่างเดียว ทำให้ทุกอย่างจนกระทั่งแกเสียชีวิต ผมภูมิใจที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง คนจะได้รู้ว่าแม่ผมเก่ง
“นี่เป็นอุปสรรคครั้งหนึ่งในชีวิตที่ทำให้ครอบครัวเรารักกันมากขึ้น แล้วก็ได้รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่มีครอบครัวนี้”
และการเป็นคนใกล้ชิดผู้ป่วยติดเตียงมา 16 ปี มีคุณพ่อเป็นประหนึ่งครูผู้สอนวิชาการดูแลผู้ป่วย ทำให้หมอตี๋เข้าใจสัจธรรม ความรู้สึกของญาติผู้ป่วย และรู้ว่าจะต้องดูแลครอบครัวของเขาอย่างไรในวันที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากแก่การทำใจ เพราะเขาเองก็เคยเป็นคนคนนั้น
ฟุตบอลกับหมอกระดูก
“ส่วนหนึ่งที่มาเรียนตรงนี้เกิดจากการเล่นฟุตบอล ผมเล่นมาตั้งแต่ประถม เล่นจนแม่บอกว่าเดี๋ยวจะไปต้มลูกฟุตบอลให้กิน”
หมอตี๋มักเล่นมุกที่อิงความจริงว่านามสกุล ‘หงสเลิศพิภพ’ นั้นทำให้เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล จนช่วงหนึ่งที่ทีมนี้ฟอร์มตก จากชื่อ ‘ตี๋’ จึงกลายเป็น ‘เป็ด’ ที่เพื่อน ๆ เรียกกันมาตั้งแต่มัธยมจนมหาลัย ก่อนกลับเป็นชื่อตี๋เช่นเดิม
“พอเล่นฟุตบอล ก็เคยมีการบาดเจ็บมาก่อนตั้งแต่เด็ก ๆ แต่หลายครั้ง เราพบว่าคุณหมอสาขานี้จะมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวเรา มีความนึกคิดเดียวกัน เป็นกลุ่มคนที่ผมเข้าถึง เลยเป็นอีกส่วนนึงที่มาเป็นหมอกระดูก
“เพื่อน ๆ ในกลุ่มมหาวิทยาลัยหลายคนก็เล่นฟุตบอล ครึ่งนึงก็มาเป็นหมอกระดูก แล้วที่ประทับใจคือรุ่นผมได้แชมป์กีฬา 13 เข็มด้วย”
แต่ไม่ใช่เพียงฟุตบอลพาไป หมอตี๋ยังชอบการรักษากระดูกเพราะให้ความรู้สึกเหมือนได้มอบของขวัญทั้งแด่คนไข้และตัวเอง แม้งานของหมอกระดูกจะต้องใช้แรงมากแต่ก็มักจบลงด้วยความสุขที่คนไข้ได้กลับมาขยับร่างกาย มีเพียงน้อยครั้งที่จะจบลงด้วยความโศกเศร้าเหมือนงานแพทย์สาขาอื่น จึงเป็นงานที่ยังอยู่บนความสมดุลระหว่างความสุขและความทุกข์ที่ต้องพบในแต่ละวันในมุมมองของคุณหมอ
“ผมมองว่าถ้าเราจะทำงานอย่างมีความสุข จะต้องเห็นสิ่งที่เป็นรอยยิ้มด้วย อะไรที่ทำให้คนไข้ที่มีอาการบาดเจ็บแล้วกลับมาใช้ชีวิตได้ บรรเทาความเจ็บปวดจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภาพเหล่านี้ งานกระดูกมันอยู่ในจุดที่เราสามารถทำได้ ก็เป็นอะไรที่ทำให้เรามีแรงผลักดันในการทำงานที่ดี”
ชีวิตการทำงานของหมอกระดูกเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อหมอตี๋เรียนจบแพทย์ปี 6 เขารู้ตัวตั้งแต่ก่อนจบว่าต้องการทำงานออร์โธปิดิกส์ หลังจากเป็นแพทย์ใช้ทุนในปีแรกจึงได้ประจำที่แผนกกระดูกและข้อตลอดระยะเวลาใช้ทุนที่เหลือ ไม่ต้องไปวนทำงานตามแผนกต่าง ๆ เพื่อหาสาขาที่สนใจ สถานที่ประจำของเขาคือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก แต่ก็ต้องวนย้ายไปประจำตามโรงพยาบาลในเครือข่ายขนาดเล็กเมื่อขาดคน


“ถ้าถามว่าเคสไหนยากสุด ผมคิดว่าน่าจะเป็นการผ่าตัดใหญ่เองเคสแรกคือคนไข้กระดูกต้นขาหัก ก็ต้องผ่าตัดใส่เหล็กดามธรรมดา แต่รู้สึกว่ามันตื่นเต้นท้าทาย พอเราทำได้ ก็ทำให้เรามีความมั่นใจ มีความกล้าที่จะเดินต่อไปในสายงานนี้”
“ตอนใช้ทุนใหม่ๆที่อำเภอบางกระทุ่ม เข้าใจเลยว่าชีวิตแพทย์ชนบทเป็นยังไง พักที่บ้านพักคุณหมอที่เคยเห็นในทีวี บ้านเก่า ๆ 2 ชั้น ไม่มีอะไรเลย ก่อนเข้าไปอยู่ก็ต้องไปกวาดบ้านเช็ดบ้าน คิดอะไรไม่ออกก็ซื้อทีวีไว้ก่อน เพราะในนั้นไม่มีอะไรให้ทำเลย วันแรกต้องไปถามคนอื่นว่าแถวนั้นเขากินข้าวกันที่ไหน แล้วตอนนั้นไม่มีรถ แต่ว่าโชคดีที่นั่นมีรถไฟไปถึง ก็นั่งตรงจากบ้านแถวหัวลำโพง ตอนเช้าก็โทรบอกให้คนมารับ โรงพยาบาลอยู่ห่างจากสถานีรถไฟแค่ 2-3 กิโล ก็สนุกดี”
การทำงานกับชุมชนทำให้หมอตี๋รู้ว่าอาชีพนี้สำคัญมาก ภายใต้ข้อจำกัดของบุคลากรและเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล อะไรที่ไม่รู้เขาก็ต้องได้รู้ อะไรที่ไม่เคยทำเขาก็ต้องลองทำ การรักษาคนไข้ช่วงใช้ทุนของเขาผ่านมาได้เพราะมีพยาบาลในโรงพยาบาลท้องถิ่นเป็นกำลังสำคัญ
“พยาบาลชุมชนเก่งมาก หลายคนก็เรียกว่าเป็นครูของเราเลย
“ย้อนหลังไปก่อนใช้ทุน ผมไปทำงานที่อุบลราชธานีอยู่ 3 เดือน ชีวิตเปลี่ยนมากเลย รู้เลยว่าการทำงานที่แท้จริงเป็นยังไง แล้วความเหนื่อยคืออะไร ตอนแรกไม่เคยจับมีดหมอมาก่อน พอไปถึง อยู่แผนกศัลยกรรมต้องผ่าตัดไส้ติ่ง ความรู้ที่เรียนเคยแค่เข้าไปช่วยผ่าตัด แต่คนที่สอนผมให้จับมีดหมอคือคุณพยาบาล วันนั้นอยู่เวรก็ผ่าไปเกือบ 10 เคส จนเคสหลัง ๆ ก็รู้สึกว่าทำได้แล้วนี่นา คุณพยาบาลสอนหลายอย่างมาก ต้องขอบคุณพี่ ๆ พยาบาลวันนั้นจริง ๆ”
หลังผ่านการใช้ทุนที่พิษณุโลก หมอตี๋ก็มาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อตามความตั้งใจแต่แรก และได้มีโอกาสมาเริ่มงานที่โรงพยาบาล BNH ต่อหลังจากจบแพทย์เฉพาะทางด้านเปลี่ยนข้อเข่าข้อสะโพกเทียม ซึ่งในตอนแรก คุณหมอก็ยังกังวลเพราะกลุ่มคนไข้ที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอชแตกต่างจากประสบการณ์ที่เคยพบเจอ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในทีมแพทย์ และบุคลากรท่านอื่น เขาก็ค่อย ๆ ปรับตัว และสร้างความเชื่อใจให้คนไข้ได้ด้วยความสามารถและรอยยิ้ม
“ผมไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษที่ไหน ตอนที่จบมาก็อ่านได้ แต่พูดไม่เก่ง ก็โชคดีมากที่ทำงานไป แล้วก็เรียนรู้ไปด้วย คนไข้ก็เป็นอาจารย์สอนภาษาคนหนึ่ง ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ค่อนข้างดีขึ้น หมอทุกคนที่นี่อยู่กับโรงพยาบาล BNH มานานและมีความเอ็นดูน้อง ๆ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว ทำให้ผมพูดคุยได้อย่างสบายใจ ช่วยกันดูแลคนไข้กันอย่างเต็มประสิทธิภาพ”
กั้นดั้มที่รัก
นอกจากฟุตบอลแล้ว หมอตี๋ยังเติบโตมากับหุ่นยนต์กันดั้ม ด้วยความเท่ ความสวยงาม ความคลาสสิก และความสร้างสรรค์บนตัวหุ่นยนต์ทำให้เขาหลงใหล แม้ว่าชีวิตวัยเด็กของเขาจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะครอบครองหุ่นกันดั้มก็ตาม
“ตอนเด็ก รู้สึกว่ามันแพงมาก แล้วเราก็ไม่ได้มีโอกาสซื้อหรือเล่น จำได้ว่าตอนประถม ผมช่วยคุณป้าขายข้าว ช่วยเขายกของข้างบ้านได้เงินมา 5 บาท 10 บาท เก็บตังค์ซื้อกันดั้มตัวเล็ก ๆ มาต่อเอง เป็นชุดเกราะมังกรราคา 240 บาท ทุกวันนี้ยังจำราคาได้ ผมแฮปปี้กับมันอยู่เป็นปี ตอนนี้หุ่นตัวนั้นก็ยังอยู่
“ทุกวันนี้ก็กองเต็มบ้านเลยครับ แต่ว่าไม่มีเวลาต่อ”
แม้ในวันนี้ที่ทุกคนหันไปชื่นชอบ Art Toys หมอตี๋ก็ยังคงซื้อหาหุ่นกันดั้มมาเก็บสะสมไว้ในตู้รอวันได้ต่อประกอบ สำหรับเขาแล้ว การได้ประกอบหุ่น และเพ่งพิจารณารายละเอียดบนตัวกันดั้มคือการฝึกทักษะการใช้สมาธิและบริหารความเครียดจากงานอย่างนึง


สมดุลชีวิตและการเดินทาง
“ผมพูดเสมอว่าเวลาทำงานมันคืองาน ต้องแยกแยะกับการใช้ชีวิต ทำงานเต็มที่ให้ดีที่สุด มันเป็นรายได้ แล้วทุกคนก็ยังมีสิ่งที่ชอบ ก็ทำไปตามเวลาที่มี อย่างผมชอบอ่าน จะข่าวเอยหนังสือเอย อะไรก็ตามที่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ผมเคยมีความฝันว่าอยากเป็นเชฟ ทุกวันนี้ก็ยังชอบทำอาหาร ชอบกิน ชอบเดินทางท่องเที่ยว ก็มีความสุขกับมัน”
หมอตี๋ชอบการเดินทางมาก เมื่อว่างเว้นจากการทำงานและมีเวลามากพอเขาจะออกเดินทาง หากได้ไปไกลรอบโลกก็คงเป็นเรื่องดี แต่คนเป็นหมอคงหาเวลาเช่นนั้นได้ยาก ในวันนี้เขาก็เก็บเล็กผสมน้อยไปตามส่วนต่าง ๆ ของโลกไปก่อน หากเป็นทริปที่ประทับใจที่สุดคงเป็นกรีซ ประเทศที่ไกลจากบ้านที่สุดแล้วในชีวิตเขา และหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตคุณหมอก็เกิดขึ้นที่นั่นเช่นกัน
“ผมไปขอภรรยาแต่งงานที่กรีซ เป็นภาพในฝันเหมือนกัน ตอนนั้นผมไม่เคยคิดกล้าไปไหนไกลขนาดนี้ ทำการบ้านเยอะมาก เป็นช่วง Low Season ตอนไปจอดรถที่ซานโตรินี มีรถนักท่องเที่ยวอยู่แค่ 2 คัน รถผมโดนทุบกระจกด้วย ร้อยวันพันปีแฟนไม่เคยทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถ แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ถึงไม่เอามือถือลงไป ที่จริงโจรเปิดหลังรถได้แต่ไม่ได้ทำ ยังโชคดีที่ของอยู่หลังรถหมด…แหวนแต่งงานก็อยู่หลังรถ”
แม้จะมีทรัพย์สินเสียหายไปบ้าง แต่ของสำคัญที่สุดก็ยังรอดจากเงื้อมมือโจร เมื่อจังหวะเป็นใจในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ท้องฟ้าสว่างใส และวิวหน้าห้องพักกำลังสวย คนรักของหมอตี๋เพิ่งเสร็จจากการอาบน้ำเตรียมลงไปทานอาหารเช้า เสียงเพลงโปรดของสองคนก็ดังขึ้นเป็นฉากหลังให้คุณหมอที่กำลังยืนถือแหวนอยู่หน้าประตู
“แต่งงานกันนะ”
แล้วสมดุลชีวิตของคุณหมอก็มีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญเพิ่มเข้ามา
วันแต่ละวันของหมอตี๋ยังคงผ่านไปอย่างทุกข์บ้างสุขบ้างตามธรรมดาโลก แต่ที่คุณหมอยังคงมีติดตัวอยู่ตลอดคือรอยยิ้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณหมออยากให้คนจดจำ และอยากให้ทั้งคนไข้และใครก็ตามที่ได้พบ ได้รับความสุขจากรอยยิ้มนั้น
“ทุกอย่างมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตผมมีเรื่องมากมาย แต่เชื่อว่าถึงจุดหนึ่งมันจะมีทางออก ผมโชคดีที่ได้ก้าวเดินมาได้ แล้วก็ได้เพื่อน ได้ครอบครัว หลาย ๆ อย่างหล่อหลอมกันจนทำให้ผมมาถึงจุดนี้”

Articles & Published Content
ทำนัดหมายแพทย์ออนไลน์ | Appointment

นพ. วรพจน์ หงสเลิศพิภพ
ศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร
ความชำนาญพิเศษ
ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์
ภาษา
ไทย, อังกฤษ
– ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์
– Thai Board of Orthopedic Surgery, Chulalongkorn University (2014)
– MD., Chulalongkorn University (2007)
– Fellowship in Arthroplasty, Chulalongkorn University (2015)
ตารางออกตรวจแพทย์
วัน | เวลา | แผนก |
---|---|---|
จันทร์ | 09:00 – 17:00 | ศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร |
พุธ | 09:00 – 17:00 | ศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร |
พฤหัสบดี | 09:00 – 17:00 | ศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร |
ศุกร์ | 09:00 – 17:00 | ศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร |
เสาร์ | 09:00 – 17:00 | ศูนย์กระดูกและข้อครบวงจร |