นพ. ธิติวัฒน์ ศรีประสาธน์ ผู้สะสมความชำนาญจากสหรัฐอเมริกา
สู่ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดในเมืองไทย

คุณหมอผู้สะสมความชำนาญจากสหรัฐอเมริกา
สู่ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดในเมืองไทย

– นพ. ธิติวัฒน์ ศรีประสาธน์ –

ในวันที่เทรนการย้ายประเทศเป็นยิ่งกว่ากระแส คนที่มีทั้งโอกาสและประสบการณ์โชกโชนจากประเทศพัฒนาแล้วอย่าง นพ. ธิติวัฒน์ ศรีประสาธน์ อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจ ประจำโรงพยาบาล BNH ผู้ริเริ่มการรักษาโดยการส่องกล้องจี้หลอดลมในประเทศไทย กลับเลือกที่จะอยู่เมืองไทยเพื่อตอบแทนสังคม มอบความสุขให้คนไข้ และรับความประทับใจเมื่อได้เห็นชีวิตที่ดีขึ้นของคนไข้ ซึ่งคุณหมอได้มีส่วนสร้าง

ความตั้งใจนี้ให้แม่

ทักษะในวัยเด็กของ นพ.ธิติวัฒน์ คือศิลปะ และความฝันดั้งเดิมคือการได้เป็นสถาปนิก เขามั่นใจในเส้นทางนี้จนเลือกตัดวิชาชีววิทยาทิ้งตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย ซึ่งไม่จำเป็นในที่คณะที่ต้องการสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่ทางเลือกก็มีจุดหักเหเมื่อเขาอยู่ ม.5

เพราะพี่ชายกำลังเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ความหวังของแม่จึงมาตกอยู่ที่นายธิติวัฒน์ ผู้ซึ่งไม่มีวิชาหลักอย่างชีววิทยาอยู่บนหน้าสมุดพก แต่เพราะได้รับปากแม่ไว้แล้วเขาจึงตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักทดแทนเนื้อหาวิชาที่ไม่เคยได้เรียน โชคดีที่สมัยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน สามารถใช้คะแนนสอบเพียงอย่างเดียวในการยื่นเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาโดยไม่ต้องใช้เกรด

“ตอนนั้นก็มีแรงขึ้นมากเพื่อแม่ด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าให้ไปทำใหม่คงทำไม่ได้แล้ว”

แม้ว่าคุณแม่ไม่อาจอยู่จนเห็นลูกชายเป็นนายแพทย์ แต่ความตั้งใจที่มาจากคุณแม่นั้นก็พานายธิติวัฒน์เข้าไปเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนได้ออกมาเป็นหมอเต็มตัว หลังใช้ทุนเป็นคุณหมอ 1 ใน 2 คน ประจำโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในจังหวัดสระบุรี เขาก็บินลัดฟ้าไปต่อด้านอายุรศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกา

9 ปี ในเมืองลุงแซม

“ผมรู้สึกไม่ชอบการผ่าตัดมากนัก เลยเรียนทางอายุรกรรม ตอนนั้นอยากเรียนอย่างอื่นที่ไม่ใช่โรคปอด แต่ว่าตอนไปอยู่ที่อเมริกา หมอโรคปอดเก่ง และคนไข้โรคปอดส่วนใหญ่จะอยู่ใน ICU พอผมไปใหม่ๆ ภาษายังไม่ดีมาก อยู่ที่ ICU ส่วนใหญ่คนไข้อาการหนัก ก็ไม่ต้องสื่อสารถามประวัติ ดังนั้นการใช้ภาษาจะน้อย ใช้การตรวจร่างกายหรืออย่างอื่นในการได้ข้อมูลมา”

หมอจากไทยโชคดีที่หลักสูตรแพทย์บ้านผมเรียนมาหนัก พอไปอยู่ต่างแดนก็ไม่ต้องปรับตัวมากนักด้านพื้นฐานวิชาการ แต่อุปสรรคหลักคือภาษา ที่ นพ. ธิติวัฒน์ ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ในการปรับทักษะ โดยมีทั้งอาจารย์แพทย์ พยาบาล และเพื่อนแพทย์คอยช่วยเหลือ ด้วยความที่คนไทยอัธยาศัยดี ผู้คนจากหลากประเทศจึงให้การต้อนรับและเป็นมิตรกับคุณหมอ

“มีเพื่อนต่างชาติ เป็นชาวเปรูกับเม็กซิกัน เดือนแรกก็มั่วๆ เขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่รู้อะไรครึ่งนึงภาษาอังกฤษครึ่งนึงภาษาสเปน ผมก็ฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่เชื่อไหม เพราะเราลำบากด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้าง สุดท้ายกลายเป็นเพื่อนกันหมด สนิทกัน เขามาเมืองไทยยังมาบอกผมเลย จนบัดนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ อันนี้ก็เป็นความสุข” 

หมอธิติวัฒน์เรียนด้านอายุรศาสตร์ที่ชิคาโกเป็นเวลา 3 ปี และต่อด้านโรคปอดกับเวชบำบัดวิกฤติที่ซานฟรานซิสโกอีก 3 ปี แล้วโชคชะตาก็นำพาคุณหมอมาเจอกับรุ่นพี่ชาวไทยจากสแตมฟอร์ด ที่แนะนำให้เรียนทาง Interventional Pulmonology คือการส่องกล้องโรคปอด ใส่ท่อค้ำยัน ยิงเลเซอร์รักษาหลอดลมตีบ ซึ่งตอนนั้นคุณหมอไม่เคยรู้จักศาสตร์ด้านนี้มาก่อน แต่ก็ลองไปเรียนต่อในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่ซินซินแนติ รัฐโอไฮโอ จนได้รับเข้าทำงานต่อ

“สรุปอยู่อเมริกา 9 ปี อยู่จนรู้สึกว่าผมควรจะอยู่ตลอดชีวิต หรือควรจะกลับมาเมืองไทย”

แต่สุดท้ายคุณหมอก็เลือกกลับมาเมืองไทย เข้ามาสอนนิสิตที่ภาควิชาอายุรกรรม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับการรักษาคนไข้ในโรงพยาบาล BNH

“ทีแรกตั้งใจว่าจะอยู่สักปีสองปี เคยหลายครั้งรู้สึกอยากกลับไปอเมริกา แต่แล้วก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้ไม่กลับ เช่นดูแลคนไข้ อย่างเคสต่างๆ ผมคิดว่ามาอยู่ที่นี่ ผมได้สร้างบางสิ่งต่อสังคม ต่อประเทศ ต่อประชาชน ผมอาจจะทำไม่ได้มาก แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสในการชดเชยให้กับสังคม ทุกครั้งที่อยากจะกลับมันก็เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วก็เลยอยู่ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็คงไม่กลับไปแล้ว”

หมอปอดเปลี่ยนชีวิต

คุณครูท่านหนึ่งเป็นโรคหืดขั้นรุนแรงมาแต่เด็ก ซึ่งจะพบได้ประมาณ 3-4% ของคนไข้โรคหืด เกือบทุกวันต้องใช้ยาฉุกเฉิน และทุกเดือนต้องนอนโรงพยาบาล บางวันจะต้องเรียกลูกศิษย์มาเรียนที่โรงพยาบาลซึ่งไม่ห่างจากโรงเรียนนักเพราะอาการกำเริบ จนในที่สุดต้องฉีดยาต้านภูมิคุ้มกัน 2 ปีแรก แล้วก็อาการดีขึ้น แต่ก็กลับมากำเริบอีกครั้ง ตอนนั้น อ.ธิติวัฒน์ รักษาคนไข้โดยการส่องกล้องและจี้หลอดลมด้วยความร้อน ช่วยให้ขนาดกล้ามเนื้อหลอดลมลดลง ทำให้โรคหืดกำเริบน้อยลงหรือว่าหายไป แล้วสามารถใช้ยาควบคุมอาการได้

“เป็นการรักษาโดยการส่องกล้องจี้หลอดลมครั้งแรกของประเทศไทย และตอนนี้ก็รักษามากที่สุดแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ปัจจุบัน มีหมอที่สามารถทำการส่องกล้องรักษาโรคปอดได้น้อยมาก และประสบการณ์ 9 ปี ในการเป็นหมอที่สหรัฐอเมริกา ยิ่งทำให้ทักษะที่คุณหมอมีเป็นจุดเด่นสำคัญ แต่การดูแลคนไข้ของ อ.ธิติวัฒน์ ไม่ได้จบลงแค่การรักษา ผลลัพธ์จึงไม่ใช่เพียงการช่วยชีวิต แต่เป็นการสร้างคุณภาพชีวิตให้คนไข้และครอบครัวด้วย

ครั้งหนึ่งมีวัยรุ่นชาวพม่าอายุ 18 ปี บินมารักษาโรคหลอดลมตีบจากวัณโรค เขาเป็นเพียงเป็นชนชั้นกลาง แต่ค่ารักษาพยาบาลที่ประเทศนั้นแพงมากจนการเดินทางข้ามประเทศมารักษาในไทยสำหรับโรคร้ายแรงเป็นทางเลือกที่จับต้องได้มากกว่า เคสนี้มาถึงต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อใส่ท่อค้ำยันขยายหลอดลมและเครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ หรือ ECMO

“เขาใส่อยู่ตั้งเกือบปี พอผ่าตัดเอาเครื่องออกคนไข้ก็หายใจโล่งสบาย คุณแม่เขากราบเลยด้วยความดีใจ”

แต่ชีวิตของเด็กต่างแดน หากต้องบินไปมาเพื่อทำการรักษาต่อเนื่องคงไม่สะดวกนัก อ.ธิติวัฒน์ จึงให้ลูกศิษย์ช่วยหาที่เรียนหลักสูตรนานาชาติให้ แล้วบอกแม่ให้ลูกเรียนเมืองไทย จะได้มาตรวจรักษาง่าย เข้าออกได้ถูกกฎหมาย จนสุดท้ายเขาก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในไทย และหลังการตรวจครั้งสุดท้ายเพื่อถอดท่อค้ำยัน เขาก็ไปเล่นกีฬาได้ จนถึงตอนนี้เด็กคนนั้นสามารถพูดภาษาไทยได้แล้ว

“เขาคงได้เติบโตไปเป็นคนดีของสังคม ก็เป็นสิ่งที่ผมประทับใจ”

คนไข้โรคปอด ส่วนมากเป็นคนไข้หนักและเรื้อรัง ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับหมอจึงยาวนาน แม้หายจากอาการแล้วก็ยังคงต้องนัดติดตามอย่างต่อเนื่อง ในห้องทำงานของ อ.ธิติวัฒน์ จึงเต็มไปด้วยการ์ดขอบคุณ ของที่ระลึกจากคนไข้ หรือแม้กระทั่งหนังสือขอบคุณในการดูแลให้ได้บรรเทาความทรมานในวาระสุดท้ายของชีวิต และยิ่งโรคภัยสมัยใหม่ล้วนเกี่ยวข้องกับปอดแล้ว ความท้าทายในการดูแลผู้ป่วยของอาจารย์จึงมากขึ้น

ตอนโควิดเริ่มเข้ามา ผมไม่กล้ากลับบ้าน กลับบ้านก็ไม่กล้ากินข้าวกับลูกกับภรรยา อยู่ในชุดอวกาศได้อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 45 นาทีก็ไม่ไหวแล้วเหงื่อท่วมเลย แต่งชุดทีก็ประมาณครึ่งชั่วโมง ถอดชุดทีก็อีกครึ่งชั่วโมง

ปัจจุบัน โควิดอาจลดความรุนแรงลงเพราะการเข้าถึงวัคซีน แต่อีกปัญหาอย่าง PM 2.5 ยังคงวนเวียนกลับมาทุกฤดูแล้ง สร้างผลกระทบสะสมต่อร่างกายมนุษย์ และผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีกับคนไข้กลุ่มเปราะบาง

“คนไข้ปัจจุบันที่เป็นมะเร็งปอดเป็นคนที่ไม่สูบบุหรี่ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามาจากไหน หนึ่งในนั้นคือ PM นี่แหละ ผมพยายามบอกคนไข้ให้หลีกเลี่ยง ขีดนี้แล้วนะปิดบ้านอย่าออกกลางแจ้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก รักษาโรคหืดส่องกล้องจี้หลอดลมให้คนไข้ พอถึงหน้า PM โรคหืดก็กำเริบเลย”

วิทยาการทางการแพทย์อาจเปลี่ยนชีวิตคนได้ แต่สำนึกต่อส่วนรวมของคนที่ต้นทางของปัญหา เช่นการเผาไร่นาป่าเขา ได้สร้างผลกระทบที่ใหญ่กว่า แม้หมอปอดอย่าง อ. ธิติวัฒน์ จะพยายามถึงที่สุดในการรักษาและสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ป่วย แต่มันก็เป็นเพียงปลายทางของปัญหาที่ทำดีแค่ไหน ก็ไม่ดีเท่าการแก้ไขที่ต้นเหตุ

ทักษะและชีวิต

“สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากอเมริกา คือความรู้ทางการแพทย์เป็นปัจจัยหนึ่งในการดูแลคนไข้ได้ดี แต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด ต้องมีอีก 3 อย่าง อย่างแรกคือการทำงานร่วมกับระบบสาธารณสุขได้ นอกจากนี้ต้องมีทักษะการสื่อสาร และความเป็นมืออาชีพ หมายถึงการรู้ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ทำได้อันนี้ทำไม่ได้ พอมารวมกันแล้วก็จะรักษาคนไข้ได้ดี”

และอีกสิ่งที่คุณหมอให้ความสำคัญในการรักษาคือการทำงานเป็นทีม เพราะปัญหาของคนไข้มีหลายมิติ ไม่อาจจัดการได้ด้วยหมอเพียงคนเดียว ยังต้องอาศัยทีมงานแพทย์เฉพาะทาง พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่นๆอีกมากมาย ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในหมู่บุคลากรทางการแพทย์จึงสร้างการดูแลแบบบูรณาการที่ให้คนไข้เป็นศูนย์กลาง เพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของคนไข้ ดังนโยบายของโรงพยาบาลบีเอ็นเอช

“อยู่โรงพยาบาล BNH มา 8 ปี ความประทับใจคือไม่ใหญ่เกิน เดินไปไหนมาไหนก็รู้จักหมอคนนั้นคนนี้ รู้สึกเป็นมิตร มีเคสมีปัญหา ส่งต่อคนไข้กันก็ยกหูโทรศัพท์หากันปรึกษากันได้ไม่มีความอึดอัด”

ด้วยองค์ประกอบทั้งหมด การทำงานอย่างหนัก และเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำงาน ทำให้คุณหมอมีความสามารถและผลงานที่โดดเด่น และยังมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัว

“ลูกศิษย์ชอบบอกว่าต้องมี work life balance ผมก็บอกเขาว่า คุณต้องมีการทำงาน เพื่อที่จะให้งานนั้นทำให้คุณสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แล้วก็มีชีวิตมี balance ต่อไป”

เมื่อว่างเว้นจากการทำงาน นพ. ธิติวัฒน์ ซึ่งเป็นคริสตศาสนิกชนจะพาครอบครัวไปโบสถ์ตอนเช้าวันอาทิตย์ และศึกษาคัมภีร์ไบเบิ้ลเพื่อความสงบของจิตใจ และแม้ว่าเส้นทางชีวิตในปัจจุบันจะไม่ใช่อาชีพด้านศิลปะที่เคยใฝ่ฝันในวัยเด็ก แต่คุณหมอยังคงเสพย์ศิลปะเพื่อจรรโลงใจ โดยการสมัครสมาชิกวารสารศิลปะหลายฉบับ และยังเคยเป็นสมาชิก San Francisco Symphony Orchestra สมัยใช้ชีวิตอยู่สหรัฐอเมริกา ด้วยความรักและอยากสนับสนุนศิลปินคุณภาพให้อยู่สร้างผลงานต่อไป อย่างไรก็ตาม ชีวิตกับศิลปะของ อ.ธิติวัฒน์ ก็ไม่ได้เป็นเส้นขนาน เพราะแม้แต่การรักษาคนไข้ทุกวันนี้ก็ยังคงแฝงศิลปะอยู่ในนั้น

“สอนลูกศิษย์ว่าเวลาตัดชิ้นเนื้อ เวลาขยายหลอดลม มันต้องทำให้สวย งดงาม เก็บให้เรียบร้อย มันมีความเป็นศิลปะอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะ ที่เหลือก็ไปอ่านหนังสือ ดูงานศิลปะไป”

ประสบการณ์ทั้งไทยและต่างแดนได้มอบความสามารถในการงาน และทักษะในฐานะมนุษย์คนหนึ่งซึ่งสัมพันธ์กับการทำงานที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจและเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ กลายเป็นสิ่งที่หลอมรวมให้ นพ.ธิติวัฒน์ เป็นคุณหมอที่สร้างความสุขมอบความหวังให้คนไข้ได้ แม้ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุด

“จะแสดงความจริงใจก่อนว่าเรามีความตั้งใจที่จะรักษาดูแลเขา ต้องรับฟังผู้ป่วย เพราะเมื่อเรารับฟังระดับหนึ่ง เราจะรู้ว่าเขาคิดยังไง เราจะบอกได้ว่าเขาอยากทำอะไรบ้าง คนไข้ก็คงอยากมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในชีวิตของเขาเอง ทำให้เขาเปิดใจแล้วยอมรับการรักษา โรคเขาหาย เขาก็มีความสุข เนี่ยคือกำลังใจ”

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ยินยอมทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
    เปิดใช้งานตลอด

    เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ของเรา เนื่องจากคุกกี้เหล่านี้ทำให้เว็บเซิร์ฟเวอร์สามารถตอบสนองต่อการกระทำของท่านได้ อีกทั้งยังช่วยในการแสดงผลหน้าเว็บต่อท่าน และยังรวมถึงมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องในระหว่างการท่องเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้จะคงอยู่จนกว่าจะสิ้นสุดการเยี่ยมชมของท่านและจะถูกลบอัตโนมัติทันที
    รายชื่อคุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ

    ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ของเราด้วยจำนวนครั้งการเข้าดูหน้าเว็บและจำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ โดยบริการวิเคราะห์เว็บจะวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้ ซึ่งเราจะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้หรือค้นหาส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ที่ควรได้รับการปรับปรุง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถระบุถึงตัวบุคคลได้ (กล่าวคือ เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถใช้เพื่อระบุตัวตนของท่านและไม่มีการเก็บรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ และที่อยู่อีเมลของท่าน) และข้อมูลเหล่านี้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติเท่านั้น
    รายชื่อคุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ

  • คุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน

    ช่วยให้เรารับรู้เมื่อท่านกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ด้วยข้อมูลนี้เราจึงสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้เป็นไปตามความต้องการของท่านได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเยี่ยมชมของท่านให้มีประสิทธิภาพและเฉพาะเจาะจงสำหรับท่านมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อมูลที่รวบรวมโดยคุกกี้เหล่านี้จะไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้
    รายชื่อคุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา

    จะอยู่บนอุปกรณ์ของท่านเพื่อบันทึกหน้าเว็บไซต์หรือลิงค์ที่ท่านได้เยี่ยมชมหรือติดตาม ข้อมูลที่ได้จะถูกใช้เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเราและแคมเปญโฆษณาของเราเพื่อให้เหมาะกับความสนใจของท่าน
    คุกกี้เพื่อการโฆษณา

บันทึก