หมอหัวใจสายหวานผู้อิ่มเอม
– พญ. ณัฏฐิณี มัทนพจนารถ –
แพทย์หญิงคนนี้มีหลากหลายมิติ กับรุ่นน้อง เธอคืออาเจ้ที่คอยดูแลใส่ใจทุกข์สุข กับรุ่นพี่ เธอคือเด็กน้อยที่อ่อนหวานและชอบงอแง กับเพื่อน เธอคือสายซัพพอร์ตและไม่จำเป็นต้องเรียกเธอว่าหมอ กับคนไข้ เธอคือ หมอเฟิร์น พญ. ณัฏฐิณี มัทนพจนารถ คุณหมอสายหวานประจำศูนย์หัวใจหลอดเลือดและเมแทบอลิซึม โรงพยาบาล BNH แต่ตัวตนที่แท้จริงของเธอนั้นแตกต่างกับลุคสาวเก่งที่แสดงออก คุณหมอยังเคยผ่านจุดเปลี่ยนที่สอนให้เข้าใจคนไข้ และเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเอง จนก้าวมาเป็นหมอและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คนหนึ่ง
วันที่พ่อจากไป
“คุณพ่อเป็นความภูมิใจ ความประทับใจ แรงบันดาลใจ เป็นทุกอย่างในชีวิต โดยที่ตอนวัยเด็กเราก็ไม่เคยคุยกันเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตต่าง ๆ ไม่เคยได้แชร์ประสบการณ์การทำงาน พ่อไม่มีคำสอนสวยหรูเหมือนไลฟ์โค้ชในปัจจุบัน แต่พ่อก็ลงมือทำให้เห็นมาตลอดว่าพ่อเป็นวิศวกรที่ผู้คนชื่นชมและครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพ่อเสมอ มันทำให้เรารู้สึกอยากจะเติบโตอย่างสง่างามเพื่อให้เขาภูมิใจ
“ตั้งแต่เกิดมาพ่อทำได้ทุกอย่าง พ่อดูแลทุกคน พ่อไม่เคยทำอะไรไม่ได้เลย พ่อป่วย เดี๋ยวพ่อก็หายแหละ พ่อเราเก่งจะตาย”

คุณพ่อของหมอเฟิร์นล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดขณะที่เธอกำลังเป็นนิสิตแพทย์ปี 4 ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นปีที่ศึกษาที่โรงพยาบาลชลบุรี ตอนนั้นเธอก็คิดแค่ว่าปัญหานี้คงจะผ่านไปด้วยดีเช่นเดียวกับปัญหาทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาให้คุณพ่อจัดการ และเธอก็ยังคงใช้ชีวิตกับการเรียนอย่างเต็มที่ ตารางชีวิตแต่ละวันคือ เรียน กลับหอและเรียน
“แต่สุดท้ายพ่อก็ไม่หาย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ถึงปีคุณพ่อก็เสียชีวิต กลายเป็นว่าเราไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้ขอบคุณที่ดูแลกันมา ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เราก็ไม่ได้บอกรักพ่อสักคำด้วยซ้ำ เหมือนเราแค่เป็นเด็กคนนึงที่ไม่ได้ยอมรับความจริงตรงหน้า”
ครอบครัวของหมอเฟิร์นมีกัน 4 คน พ่อ แม่ เธอ และน้องชาย โดยมีคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวทำงานเป็นวิศวกร มีคุณแม่เป็นแม่บ้าน ตัวคุณหมอเป็น Daddy girl ผูกพันกับคุณพ่อเป็นพิเศษ แต่แล้วการสูญเสียคุณพ่อก็ได้นำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาสู่ตัวคุณหมอทั้งความคิดและการกระทำ ประสบการณ์วันนั้นได้สอนให้เธอใช้เวลาเพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้มากที่สุด และทำให้เข้าใจญาติคนไข้ในช่วงบั้นปลายชีวิตอย่างแท้จริง
“เราอยากบอกรักพ่อ อยากกอดพ่อ แต่เรากลับไปทำไม่ทันแล้ว วันที่พ่อเสียไป เราก็รู้ว่าแม่คือสิ่งมีชีวิตที่พ่อรักที่สุด สิ่งสุดท้ายที่ในวันนี้เราจะแสดงความรักต่อพ่อได้คือการดูแลแม่ ดูแลน้อง และดูแลตัวเองให้ดีเหมือนที่พ่อทำให้ทุกคนตลอดมา ตอนนี้เราก็จะบอกขอบคุณแม่เสมอที่ยังอยู่ด้วยกัน ขอบคุณแม่ที่พยายามเข้มแข็งและทำให้บ้านเป็นบ้านที่อบอุ่น
“ก็เลยค่อนข้างอินกับวาระสุดท้ายในชีวิตของคนไข้ เราก็จะคุยกับญาติ ๆ เสมอว่าทำทุกวันนี้ให้เต็มที่ อยู่กับคนไข้ให้มากที่สุด อยากพูดอะไรให้พูดเลยในวันที่เขายังได้ยิน ในวันที่เขายังตอบอะไรเรากลับมาได้ แล้วยังเก็บรักษาความทรงจำนี้ไว้ได้…เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเสียดายเหมือนเรา”
จะก้าวไป จะไขว่จะคว้ามา สุดท้ายวนมาจบที่ใจตน
ตั้งแต่ชั้น ป.1 จนจบ ม.6 หมอเฟิร์นเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟบางนาเพราะเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ใช้เวลาเดินทางเพียง 5-10 นาที ชีวิตในรั้วโรงเรียน 12 ปี จึงมีความสะดวกและไม่ต้องแข่งขันกับใครทั้งบนถนนและในห้องเรียน เธอมีโอกาสได้เป็นตัวแทนในการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง คนอินโทรเวิร์ตอย่างเธอรู้ตัวว่าชอบเต้น ชอบแสดงออก จึงได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ในงานกีฬาสีถึง 2 ปี และหมอเฟิร์นก็ยังเป็นคนเดียวในรุ่นที่สอบเข้าเรียนแพทย์ศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้
“โมเมนต์ที่จดจำคือตอนรู้ผลว่าสอบติดแพทย์ สายตาและรอยยิ้มของพ่อมีความสุขที่สุดในโลก เรากระโดดกอดพ่อ และโมเมนต์นั้นก็ยังเป็นแรงใจในวันที่ท้อแท้มาจนถึงทุกวันนี้ มันคงจะดีมาก ๆ เลยถ้าพ่อได้มาอยู่ด้วยกันในวันที่เรารับปริญญา”
จากวันแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย จนมาติดแพทย์โดยไม่ได้ตั้งความหวังสูงกับตัวเอง แต่ด้วยนิสัยชอบทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุด เป้าหมายต่อไปของหมอเฟิร์นจึงสูงขึ้นและหวังมากขึ้นไปโดยปริยาย เมื่อเริ่มไต่ขึ้นไปก้าวแรกแล้วก็ต้องก้าวต่อไปจนสุดทาง ตั้งแต่เข้ามาเรียนหมอที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อไปก็ต้องจบด้วยเกียรตินิยม ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาแล้วก็ต้องได้เรียนต่ออายุรแพทย์ ต่อไปก็ต้องได้เรียนเป็นหมอหัวใจ และต้องได้ทำงานในโรงพยาบาลที่ดี


“เราวิ่งตามหาสิ่งที่เป็นขั้นกว่าไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรียนจบหมอ พอได้ปริญญาใบแรกมา ก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เรียนต่ออายุรกรรมหัวใจและหลอดเลือด ก็อดทนแล้วก็ทำเต็มที่มาตลอดเพื่อจะเป็นหมอหัวใจ ชีวิตเราไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ เราก็ทุ่มสุดตัวกับทุกอย่าง แต่บางครั้งมันกลับไม่ราบรื่น มีช่วงที่เราสงสัยว่าเราทำเต็มที่แล้วทำไมเราไม่สมหวัง จึงค้นพบว่าโลกนี้มีอะไรอีกมากมายเหลือเกินที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา สิ่งที่เราควบคุมได้มีแค่ทัศนคติและการกระทำของตัวเราเองเท่านั้น อย่างคำสอนที่ว่า ทำเหตุให้ถึงพร้อม แล้วปล่อยวางในผล เป็นสัจธรรมที่ใช้ได้จริงในทุกสถานการณ์
“แล้วเราก็ได้มาคุยกับตัวเองว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มีความสุข ลืมไปแล้วเหรอว่าการเรียนจบเป็นหมอหัวใจคือเป้าหมายที่เธอไขว่คว้ามาตลอด 8 ปี วันนี้เธอควร Enjoy the moment นะ ที่ผ่านมาเธอเก่งมาก ๆ เลยนะเด็กหญิงณัฏฐิณี ตั้งแต่ตอนนั้น เราเลยคิดว่าวันนี้ต้องมีความสุขได้แล้ว หยุดใช้ชีวิตเพื่อเป้าหมายในอนาคตจนลืม Appreciate กับปัจจุบัน กลายเป็นตอนนี้ไม่ได้ยึดมั่นกับจุดมุ่งหมายอะไรเหมือนแต่ก่อน คิดแค่ว่าอยากให้ทุกวันเป็นวันที่เรียบง่ายสงบสุข ตื่นไม่สาย สิวไม่ขึ้น ได้ทานอาหารอร่อย ไม่เจ็บป่วย ขับรถปลอดภัย ไม่มีสิ่งรบกวนที่เราควบคุมไม่ได้ระหว่างวัน ได้ออกกำลังกาย ได้สวดมนต์ และจบวันด้วยใจที่สบายนอนหลับสนิท เราขอบคุณความเป็นปกติ…เพราะแค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว
“เราเอาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ มีความสุขกับตัวเองมากกว่าความสุขจากสิ่งภายนอก หันกลับมาใส่ใจคนรอบข้างที่สำคัญ ก็เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการมองชีวิต”
หลังจากเริ่มหันมาทำความเข้าใจและกลับมาอิ่มเอมกับปัจจุบัน หมอเฟิร์นก็ได้โอกาสมาทำงานที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ด้วยคำแนะนำของอาจารย์ท่านหนึ่งที่เธอเคารพรัก ได้มาอยู่ในสังคมที่เธอนิยามว่าเป็นเสมือนญาติพี่น้อง มีแต่ความหวังดีให้กัน ซึ่งก็เป็นที่ที่เหมาะสมกับเธอ
“ตอนนี้ก็รู้สึกโชคดีที่วันนี้เราได้ทำงานตามศักยภาพของตัวเอง เป็นงานที่อยากทำ เป็นงานที่เลี้ยงตัวเองได้ ดูแลแม่ ดูแลน้องได้ แล้วก็เป็นงานที่มีประโยชน์กับคนในสังคม ดีจังเลยที่ทั้งหมดนี้มันอยู่ในงานเดียวกัน”
สุขสงบเมื่ออยู่กับตัวเอง สุขเมื่อได้รับฟังและซื่อสัตย์ต่อเสียงของหัวใจ

คนอื่นมักถามหมอเฟิร์นถึงงานอดิเรก หรือสิ่งที่เธอสนใจ แต่เธอกลับไม่มีกิจกรรมคูล ๆ ที่สามารถโชว์บนโลกโซเชียลได้เหมือนคนอื่น ยามว่างของเธอคือการได้ใช้เวลาอยู่เงียบ ๆ กับตัวเอง ทบทวนความคิดและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จัดการความรู้สึกนึกคิดภายในใจ ซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกขาดกับความไม่ปรารถนาชีวิตที่มีสีสัน แต่การไม่มีเวลาได้อยู่เฉยๆเพื่อพูดคุยกับตัวเองต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกไม่เต็ม เธอรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ค้นพบตัวเองมากขึ้น ได้สนิทกับตัวเองมากขึ้น ได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆและพัฒนาตัวเองในทุกวัน
“สิ่งที่อยากได้ในชีวิตตอนนี้คือการอยู่กับตัวเองอย่างสงบสุข ชอบประโยคหนึ่งจากซีรี่ส์เรื่องสาธุ ที่บอกว่า ‘คนเราบอกรักตัวเองแต่ก็ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ ต้องคอยแสวงหาคนอื่น หาสิ่งอื่นเข้ามาเติมเต็ม’ มันอาจจะฟังดูย้อนแย้งแต่จริงมาก ๆ ทุกคนรักตัวเองแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบตัวเอง ทุกคนชอบให้คนอื่นมาชื่นชม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่โอบกอดทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองได้”
ตั้งแต่ได้หันมาทำความรู้จักตัวเอง สำรวจความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นประจำ กลายเป็นว่าระบบความคิดภายในของหมอเฟิร์นก็เปลี่ยนไป เธอยังคงเป็นคนเดิม ยังมีความผิดพลาดและเรื่องผิดหวังในชีวิต แต่ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เธอยอมรับกับสิ่งที่เป็นและปัจจุบันที่มี
“เมื่อก่อนเราเป็น Perfectionist พยายามทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ปราศจากข้อบกพร่องทั้งกับตัวเราเองและคนรอบข้าง แต่ด้วยประสบการณ์มันสอนเราว่าโลกนี้ไม่มีขาวไม่มีดำ ทุกสิ่งล้วนเป็นสีเทาที่อ่อนเข้มแตกต่างกันไป ตอนนี้มันกลายเป็นว่าเรายอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองได้โดยที่ไม่ผลักไสด้านลบของตัวเอง เรายอมรับได้หมดแล้วว่าเราเป็นแบบนี้ ก็แค่ค่อย ๆ ปรับและพัฒนาไป เรารับได้ว่าความผิดพลาดในชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เลยทำให้ใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่นมากขึ้นและใจดีกับตัวเองมากขึ้น เราได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากคือ พอเรารู้จักใจดีกับตัวเอง เราถึงใจดีกับคนอื่นเป็น

“เมื่อก่อนจะมีคำถาม เมื่อไรจะแต่งงาน มีลูก ซื้อบ้าน ตอนนี้ยังไม่มีเลย แต่ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เมื่อไรก็เมื่อนั้น ทุกอย่างมีเวลาที่เหมาะสมของมัน อย่ามัวรอคอยวันพรุ่งนี้จนลืมใช้ชีวิตในวันนี้ให้คุ้มค่า
“วัยเด็กเราเคยเป็นคนมองโลกในแง่ดี วาดฝันอนาคตที่สวยงามเหมือนในนิยาย แต่พอโตขึ้นจึงเรียนรู้ที่จะมองโลกตามความเป็นจริง ไม่ปรุงแต่งให้ดีหรือร้าย ไม่ยึดติดเอาแต่ใจตนว่าจะต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป พอทำได้ใจมันก็เบา”
การหาคนรับฟังคือการคลายปมในใจรูปแบบหนึ่ง แต่สำหรับหมอเฟิร์น เธอมักเยียวยาตัวเองด้วยการคุยกับตัวเองเบื้องต้นก่อน เพราะไม่มีใครจะรู้จักเธอไปมากกว่าตัวเธอเอง
“ก็จะคุยกับตัวเองก่อนจนถึงระดับนึง แล้วถึงไปคุยกับเพื่อนในจุดที่เราหาทางออกให้กับตัวเองได้แล้วว่าเราตัดสินใจแบบนี้โอเคมั้ย เราถามมุมมองของคนอื่นเพื่อความคิดเห็นที่มันกว้างขึ้น เพื่อนที่ไปคุยด้วยก็จะเป็นคนที่กล้าเตือนกันด้วยความปรารถนาดี เตือนแล้วเราไม่โกรธกัน คนเหล่านี้เป็นสิ่งมีค่าในชีวิตที่ตั้งใจรักษาไว้”
“เราเชื่อเสมอว่า จงเป็นคนที่คนอื่นกล้าเตือนเถอะ เพราะเมื่อไรที่เขาไม่เตือนคุณแล้ว คือคุณเกินเยียวยาแล้วนะ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ตามควรมีจุดยืน แต่ก็ต้องฟังความเห็นคนอื่นด้วย”

ขั้วที่ต่างในตัวเอง
“มีวันนึง เดินออกไปซื้อข้าวมันไก่หน้าโรงพยาบาล แล้วมีคนไข้ประจำเดินสวนมาแต่เราไม่เห็นเขา เขาจำเราได้และอยากตรวจกับเรา เลยมาบอกพยาบาลว่าอยากทำนัดกับคุณหมอที่เพิ่งเดินเจอแต่จำชื่อไม่ได้ คุณหมอใส่เดรสและต่างหูแบรนด์เนม พอเราเดินกลับมา พยาบาลก็ถามว่าใช่เรามั้ย”
ต่างหูและชุดเดรสหวาน ๆ ที่โผล่พ้นเสื้อกาวน์ออกมา พร้อมน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ ใครได้เห็นหมอเฟิร์น ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้ดูมีความเป็นผู้หญิงสูง ซึ่งก็เป็นคาแรคเตอร์ที่ใครต่อใครจดจำเธอได้ แต่ถึงอย่างนั้น คุณหมอกลับไม่นิยามตัวเองเป็นสาวสายแฟชั่น ไม่มีไลฟ์สไตล์หรูหรา ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบทานข้าวต้มจากร้านข้างทาง และเติมความสุขด้วยการดูแลตัวเองให้ดูดี
ในห้องทำงานของคุณหมอจะมีแจกันใส่ดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ตั้งประดับอยู่เคียงข้างขวดน้ำหอมและตุ๊กตา แม้ว่าจะเป็นเพียงดอกไม้ประดิษฐ์แต่ก็เหมือนจริงจนคนไข้ทัก และปรับบรรยากาศภายในห้องตรวจให้ดูผ่อนคลาย หมอเฟิร์นชื่นชอบดอกไม้ ชอบธรรมชาติ อย่างน้ำหอมก็ต้องเป็นกลิ่น Floral หรือ Woody หากมีเวลาว่างเธอก็จะออกไปอยู่กับธรรมชาติ นั่งเฉย ๆ คุยกับตัวเอง มองท้องฟ้าสายน้ำริมทะเลสาบ ให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจ โดยเฉพาะวิวพระอาทิตย์ตก ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติก็คือท้องฟ้าแต่ละวันไม่เคยซ้ำกันเลย แต่มันก็งดงามเสมอในแบบของมัน ชีวิตคนเราในแต่ละวันก็คงไม่ต่างกัน
“เวลานั่งอยู่ท่ามกลางโลกกว้าง มันทำให้ใจเราเบา เพราะเมื่อเทียบแล้ว ตัวเราและปัญหาของเรามันก็เล็กนิดเดียวเอง”

ก้าวไปด้วยกันกับคนไข้
หมอเฟิร์นอาจมีลักษณะที่คนไข้จดจำได้ แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสิ่งที่เธอทำให้คนไข้เพื่อแสดงความใส่ใจรับฟัง เพราะแต่ละคนที่มา แม้จะมีอาการเดียวกัน แต่มีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน การดูแลรักษาจึงต้องปรับให้เหมาะสมแตกต่างกันไป
“คนไข้แต่ละคนก็จะมาด้วยความตั้งใจที่ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องดูว่าคนไหนต้องการอะไร บางคนต้องการการรับฟังเป็นหลัก บางคนต้องการให้เราอธิบายทางวิชาการโดยละเอียด บางคนอาจจะแค่ต้องการกำลังใจ เราต้องสังเกตและใส่ใจ สุดท้ายแล้วเราจะพยายามเติมความต้องการของคนไข้ให้เต็มก่อนเขาออกจากห้องไปเท่าที่เราทำได้ เพราะเราเชื่อว่าคนที่สำคัญที่สุดคือคนตรงหน้า จงปฏิบัติต่อเหตุการณ์ตรงหน้าเสมือนเป็นโอกาสเดียวที่มี
“เราชอบอธิบายเพื่อทำให้คนไข้เข้าใจแล้วก็ก้าวไปในแต่ละขั้นของการรักษาพร้อม ๆ กันกับเรา ให้เขาเข้าใจความสำคัญของการทานยาตัวนี้ เขามีทางเลือกอะไรบ้าง มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง แล้วถ้าเขารักษาไป เขาจะได้อะไร ทั้งสองฝ่ายจะก้าวไปด้วยกัน”
แต่กว่าความเข้าใจจะก่อร่างสร้างตัว เธอก็เคยเป็นหมอจบใหม่ที่ไม่เข้าใจเมื่อคนไข้ไม่ทำตามคำแนะนำเช่นกัน แต่ประสบการณ์ได้สอนให้คุณหมอเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีใครสวมหมวกใบเดียว นอกจากหมวกของคนไข้แล้ว พวกเขายังมีหน้าที่พ่อ แม่ ลูก เจ้าของกิจการ หรืออะไรก็ตามอีกมากมายที่จำเป็นต้องทุ่มเทเวลาจนบางครั้งก็ละเลยกับเรื่องสุขภาพของตัวเอง
“ถ้าเขาทานยาไม่ครบ เราก็จะอธิบายผลที่ตามมาและแนะนำสิ่งที่ปรับได้ในวันนั้น เราจะไม่ไปตัดสินเขา เราอยากทำให้คนไข้รู้สึกสบายใจที่จะเข้ามาเจอหมอคนนี้”
หากได้หันกลับมารู้จักตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง โอบกอดตัวเอง และทำอะไรก็ตามที่มอบความสงบสุขให้ตัวเองได้ มันคือขุมพลังชั้นดีที่ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาจากใครที่ไหน แต่กลับมอบพลังกายและพลังใจที่สามารถส่งต่อไปให้คนอื่นได้ เหมือนชีวิตในแต่ละวันของหมอเฟิร์น ที่ความสุขเริ่มจากการเข้าใจตัวเองให้ได้ก่อนไปเข้าใจคนอื่น หรือเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจ
“มาถึงวันนี้ก็เรียนรู้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนผ่านเข้ามาและผ่านไป ทุกสิ่งล้วนชั่วคราว ตัวเราก็เช่นกัน แต่พอยิ่งรู้ว่าทุกสิ่งไม่แน่นอนกลับยิ่งต้องเต็มที่ เราจึงตั้งใจรัก ตั้งใจทำทุกบทบาทในปัจจุบันขณะ ให้ไม่เหลืออะไรให้เสียดาย ขอบคุณให้บ่อย ขอโทษให้เป็น และบอกรักเมื่อยังมีคนฟัง ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองภาคภูมิใจ เก็บเกี่ยวความทรงจำที่งดงามระหว่างทาง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือในวินาทีสุดท้ายของชีวิต เราอยากหลับไปด้วยความรู้สึกกับตัวเองอย่างไร”
“เราเชื่อว่าวันนึงเราจะถูกลืมไปจากโลกใบนี้ แต่ถ้าทำได้เราก็อยากเป็นแรงบันดาลใจหรือความสุขเล็กๆให้ใครสักคน อย่างคนไข้เข้ามาตรวจกับเรา เขาจำไม่ได้ทั้งหมดหรอกว่าหมอพูดอะไรเยอะแยะ แต่เขาจะจำได้ว่าเขารู้สึกยังไงกับการที่มาเจอคุณหมอคนนี้ เขาพูดถึงหมอคนนี้แล้วเขายิ้มมั้ย เราว่านี่แหละคือสิ่งสุดท้ายที่เราอยากทิ้งไว้บนโลกใบนี้”
Articles & Published Content
ทำนัดหมายแพทย์ออนไลน์ | Appointment

– อายุรศาสตร์โรคหัวใจ
– วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์โรคหัวใจ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2565
– วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2563
– แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2557
ตารางออกตรวจแพทย์
วัน | เวลา | แผนก |
---|---|---|
จันทร์ | 08:00 – 17:00 | ศูนย์หัวใจ ไต เมตาบอลิซึม |
อังคาร | 09:00 – 17:00 | ศูนย์หัวใจ ไต เมตาบอลิซึม |
พฤหัสบดี | 15:00 – 19:00 | ศูนย์หัวใจ ไต เมตาบอลิซึม (เฉพาะพฤหัสบดีที่ 1, 3 ของเดือน(Only 1st, 3rd Thursday of the month)) |
ศุกร์ | 08:00 – 15:00 | ศูนย์หัวใจ ไต เมตาบอลิซึม |
อาทิตย์ | 08:00 – 16:00 | ศูนย์หัวใจ ไต เมตาบอลิซึม |