ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยไม่ส่องกล้อง มีวิธีอะไรบ้าง

ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยไม่ส่องกล้อง มีวิธีอะไรบ้าง ที่ BNH Hospital

มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ทั่วโลก การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะมะเร็งลำ ไส้ใหญ่มักก่อตัวจาก ติ่งเนื้อลำไส้ (adenomatous polyp) ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง การตรวจพบ ติ่งเนื้อลำไส้ (adenomatous polyp) และตัดออกตั้งแต่ในระยะแรก จะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ นอกจากนี้หากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่การเป็นมะเร็งลำไส้ระยะแรก ๆ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพและมีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น ซึ่งวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่มีอยู่หลายวิธี

หากนึกถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลายคนก็ต้องนึกถึงการส่องกล้องทางเดินอาหาร (Colonoscopy) คือการเอากล้อง Colonoscopy ส่องเข้าไปในทางทวารหนัก เป็นวิธีการที่แม่นยำที่สุดซึ่งสามารถจะมองเห็นโดยตรง และหากพบความผิดปกติแพทย์ก็สามารถเอาตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจได้ เช่นวิธีการตรวจที่แนะนำให้ทำในผู้ป่วยทุกราย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงเช่น มีประวัตคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลไส้หรือติ่งเนื้อลำไส้ เคยมีติ่งเนื้อลำไส้ หรือโรคลำไส้อักเสบบางอย่าง แต่ในกลุ่มเสี่ยงทำไป หากทีข้อจำกัดในการส่องกล้อง สามารถเลือกวิธีการตรวจชนิดอื่นได้

เพราะฉะนั้นบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยไม่ส่องกล้องทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี และระดับความแม่นยำที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่ามีวิธีใดบ้าง และวิธีไหนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

สารบัญ

1.การตรวจ DNA ใน อุจจาระ (Stool DNA methylation for colorectal cancer screening)

1.การตรวจ DNA ใน อุจจาระ (Stool DNA methylation for colorectal cancer screening)

เป็นการตรวจหายีน SDC2 จากตัวอย่างอุจาระของคนไข้ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่อาจจะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ (colorectal cancer นำตัวอย่างอุจจาระไปสกัดดีเอ็นเอที่ปนอยู่ในตัวอย่าง แล้วตรวจด้วยวิธี DNA methylation เพื่อดูค่า Ct จากการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ

ซึ่งหากพบว่าค่าอยู่ในช่วง positive หมายความได้ว่า ตัวอย่างดังกล่าวตรวจพบยีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้มากกว่าประชากรปกติทั่วไป แนะนำให้เข้ารับการส่องกล้อง (colonoscopy) เพื่อยืนยันและตรวจสอบระยะของโรค แต่หากพบค่าอยู่ในช่วง negative หมายถึงมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ไม่ต่างจากประชากรทั่วไป แนะนำให้ดูแลสุขภาพและทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งทุก 3 ปี

หนึ่งในวิธีการตรวจคัดกรองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันคือการตรวจ DNA Methylation ในอุจจาระ (Stool DNA Methylation Test) ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถตรวจพบความผิดปกติของ DNA ที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้น

การตรวจ DNA Methylation ในอุจจาระคืออะไร?

การตรวจ DNA Methylation ในอุจจาระเป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงในสารพันธุกรรม (DNA) ที่เกิดขึ้นในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเซลล์ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นมะเร็ง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในรูปแบบของการเติมหมู่เมทิล (Methyl Group) บน DNA ซึ่งเรียกว่า DNA Methylation กระบวนการนี้สามารถทำให้เซลล์ที่ผิดปกติเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากขึ้น

การตรวจ DNA Methylation ในอุจจาระเป็นวิธีการที่ไม่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกาย สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ตัวอย่างอุจจาระจะถูกเก็บและส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาความผิดปกติของ DNA ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยกระบวนการตรวจจะมีขั้นตอนดังนี้

  1. เก็บตัวอย่างอุจจาระ: ผู้ป่วยจะได้รับชุดเก็บตัวอย่างอุจจาระที่สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวพิเศษใด ๆ ก่อนการเก็บตัวอย่าง
  2. การส่งตัวอย่าง: ตัวอย่างอุจจาระจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการในการตรวจ DNA Methylation
  3. การวิเคราะห์ DNA: ในห้องปฏิบัติการ DNA ในตัวอย่างอุจจาระจะถูกสกัดและตรวจสอบหาการเติมหมู่เมทิลที่ผิดปกติในตำแหน่งที่เชื่อมโยงกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
  4. การรายงานผล: ผลการตรวจจะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบภายในระยะเวลาที่กำหนด หากพบความผิดปกติ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจเพิ่มเติมหรือการรักษาต่อไป
1.การตรวจ DNA ใน อุจจาระ (Stool DNA methylation for colorectal cancer screening)

ข้อดีของการตรวจ DNA Methylation ในอุจจาระ

  • ไม่เสี่ยงอันตรายและสะดวก การตรวจนี้เป็นการตรวจที่ไม่รุกล้ำร่างกายและสามารถทำได้เองที่บ้าน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกหรือไม่ต้องการทำการส่องกล้อง (Colonoscopy)
  • ตรวจพบความผิดปกติในระยะแรก การตรวจ DNA Methylation มีความไวสูงกว่าการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระในการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่และเซลล์ที่มีความเสี่ยงในการกลายเป็นมะเร็งในระยะแรก ๆ
  • เหมาะสำหรับการคัดกรอง เป็นวิธีที่สามารถใช้ในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในกลุ่มประชากรทั่วไปหรือผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง

ข้อจำกัดของการตรวจ DNA Methylation ในอุจจาระ

  • ความแม่นยำ แม้ว่าการตรวจ DNA Methylation จะมีความไวสูง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดผลบวกลวง (False Positive) หรือผลลบลวง (False Negative) ได้ ดังนั้น หากผลการตรวจเป็นบวก จำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ เพื่อยืนยันผล
  • ไม่สามารถตรวจพบติ่งเนื้อขนาดเล็กได้ทั้งหมด การตรวจนี้อาจไม่สามารถตรวจพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ได้ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วยในการตรวจคัดกรองที่ครอบคลุมมากขึ้น
ตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Colonoscopy (Virtual Colonoscopy)

2.ตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Colonoscopy (Virtual Colonoscopy)

โดยปกติแล้วการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ถือเป็นมาตรฐานในการตรวจคัดกรอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกหรือไม่ต้องการทำการส่องกล้องโดยตรง การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า CT Colonoscopy (Virtual Colonoscopy) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ

CT Colonoscopy คืออะไร?

CT Colonoscopy หรือ Virtual Colonoscopy เป็นการตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อสร้างภาพสามมิติของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แพทย์สามารถใช้ภาพเหล่านี้เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ติ่งเนื้อ (โพลิป) หรือมะเร็ง โดยไม่ต้องใส่ท่อส่องกล้องเข้าไปในลำไส้ใหญ่จริง

กระบวนการตรวจ CT Colonoscopy

การตรวจ CT Colonoscopy มีขั้นตอนที่คล้ายคลึงกับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แบบทั่วไป แต่ไม่ต้องมีการอุปกรณ์ส่องกล้องเข้าไปในร่างกายจริง ๆ ซึ่งกระบวนการจะมีดังนี้:

  1. การเตรียมตัว: ผู้ป่วยต้องทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ด้วยยาระบายก่อนการตรวจ เพื่อล้างของเสียและอุจจาระออกจากลำไส้ใหญ่ ทำให้การตรวจเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น บางครั้งอาจต้องดื่มน้ำยาเปรียบเทียบพิเศษ เพื่อให้เห็นลำไส้ใหญ่ได้ชัดเจนในภาพ CT Scan
  2. ขั้นตอนการตรวจ: ผู้ป่วยจะนอนหงายบนเตียงตรวจ จากนั้นท่อขนาดเล็กจะถูกใส่เข้าไปในทวารหนักเพื่อใส่อากาศหรือน้ำเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ขยายตัวและเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เครื่อง CT จะทำการสแกนลำไส้ใหญ่และสร้างภาพสามมิติของลำไส้ ภาพเหล่านี้จะแสดงให้เห็นโครงสร้างภายในลำไส้ใหญ่และสิ่งผิดปกติที่อาจมีอยู่
  3. การวิเคราะห์ผล: แพทย์จะวิเคราะห์ภาพจาก CT Scan เพื่อดูว่ามีความผิดปกติ เช่น ติ่งเนื้อ หรือสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่ หากพบสิ่งผิดปกติ อาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อตัดชิ้นเนื้อหรือทำการรักษา
กระบวนการตรวจ CT Colonoscopy

ข้อดีของ CT Colonoscopy

  1. ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย: CT Colonoscopy ไม่ต้องมีการสอดใส่กล้องเข้าไปในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากขึ้น และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แบบทั่วไป
  2. รวดเร็วและสะดวก: กระบวนการตรวจใช้เวลาน้อยกว่า และผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้เร็วกว่า
  3. ภาพที่ชัดเจน: CT Scan สามารถสร้างภาพสามมิติที่ชัดเจนของลำไส้ใหญ่ ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติได้อย่างแม่นยำ
  4. แม่นยำ: ความแม่นยำ ในการตรวจหาติ่งเนื้อลำไส้ขนาด 10 มม. ขึ้นไป เทียบเท่าได้กับการตรวจด้วยการส่องกล้อง

ข้อจำกัดของ CT Colonoscopy

  1. ไม่สามารถทำการรักษาได้ทันที: หากพบความผิดปกติ เช่น ติ่งเนื้อ แพทย์ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อออกหรือทำการรักษาได้ในขั้นตอนนี้ จำเป็นต้องทำการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แบบทั่วไปเพิ่มเติม
  2. การเตรียมตัวที่ยังคงมีความซับซ้อน: แม้ว่าการตรวจจะไม่รุกล้ำ ต้องสอดใส่กล้องเข้าไปในร่างกายลดความเสี่ยงเรื่องอันตรายและภาวะแทรกซ้อนแต่ผู้ป่วยยังคงต้องทำการเตรียมลำไส้ใหญ่ให้สะอาดด้วยยาระบาย ซึ่งอาจไม่สะดวกสบายสำหรับบางคน
  3. โอกาสในการตรวจพบที่ต่ำกว่าส่องกล้อง: CT Colonoscopy อาจมีความแม่นยำน้อยกว่าการส่องกล้องในการตรวจพบติ่งเนื้อหรือมะเร็งขนาดเล็ก โดยเฉพาะในบริเวณที่ยากต่อการมองเห็น

CT Colonoscopy เหมาะกับใคร?

CT Colonoscopy เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลางต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไม่สามารถหรือไม่ต้องการทำการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แบบปกติ เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้การส่องกล้องมีความเสี่ยงสูง หรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในการส่องกล้องลำไส้ใหญ่

การตรวจโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จากการตรวจค่า CEA ในเลือด

3.การตรวจโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จากการตรวจค่า CEA ในเลือด

หนึ่งในวิธีที่แพทย์ใช้ในการตรวจสอบและติดตามมะเร็งลำไส้ใหญ่คือการตรวจค่า Carcinoembryonic Antigen (CEA) ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้ในเลือดของผู้ป่วยที่มีมะเร็งลำไส้ใหญ่

CEA คืออะไร?

  • CEA (Carcinoembryonic Antigen) เป็นโปรตีนที่พบในเนื้อเยื่อของตัวอ่อนในระหว่างการพัฒนา ค่า CEA ในคนปกติจะอยู่ระหว่าง 2.5 – 5 แต่ในบางกรณี เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ค่า CEA อาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่แนะนำให้ใช้การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีนี้ เพราะพบว่าประมาณ 40% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่มีค่า CEA ไม่สูง การตรวจวิธีนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่พลาดโอกาสในการตรวจพบและรับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ทำให้การรักษายากขึ้นและมีประสิทธิภาพลดลง

การตรวจค่า CEA ทำโดยการเจาะเลือดและตรวจวัดระดับ CEA ในพลาสมา การตรวจนี้มักใช้ในกรณีต่อไปนี้

  1. การติดตามผลหลังการรักษามะเร็ง: หลังจากการผ่าตัดหรือการรักษาอื่น ๆ เช่น การฉายแสงหรือเคมีบำบัด การตรวจค่า CEA จะช่วยให้แพทย์ทราบว่ามะเร็งยังคงมีอยู่หรือไม่ หรือมะเร็งกลับมาเป็นใหม่ (recurrence) หรือไม่
    การประเมินประสิทธิภา
  2. ของการรักษา: การลดลงของค่า CEA หลังการรักษาแสดงให้เห็นว่าการรักษามีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากค่า CEA ยังคงสูงอยู่ อาจบ่งชี้ว่ามะเร็งยังคงมีอยู่หรือไม่ได้ตอบสนองต่อการรักษา
  3. การตรวจสอบการแพร่กระจายของมะเร็ง: ค่า CEA ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจบ่งบอกถึงการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ตับหรือปอด

ความแม่นยำและข้อจำกัดของการตรวจค่า CEA

แม้ว่าการตรวจค่า CEA จะมีประโยชน์ในการติดตามและตรวจสอบมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ

  1. ค่า CEA ไม่ใช่การทดสอบที่เฉพาะเจาะจง:
  2. ค่า CEA ที่สูงอาจพบได้ในผู้ที่มีโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง เช่น โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease), ตับอักเสบ, หรือการสูบบุหรี่ ดังนั้น การตรวจค่า CEA จึงไม่สามารถใช้เพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
    ค่า CEA ปกติไม่ได้แปลว่าไม่มีมะเร็ง: ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่บางคนอาจมีค่า CEA อยู่ในระดับปกติ ดังนั้น ค่า CEA ที่ปกติไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยไม่มีมะเร็ง
  3. การตรวจเพื่อการติดตามมากกว่าการคัดกรอง: การตรวจค่า CEA มักใช้ในการติดตามผลหลังการรักษามะเร็งหรือในกรณีที่สงสัยว่ามะเร็งกลับมาเป็นใหม่ มากกว่าจะใช้เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งในกลุ่มคนทั่วไป

เมื่อใดควรตรวจค่า CEA?

การตรวจค่า CEA มักถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการติดตามผลหลังการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีแรกหลังการรักษา ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่มะเร็งจะกลับมา อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น ไม่ควรทำการตรวจด้วยตัวเองหรือตัดสินใจรักษาด้วยตัวเองจากผลการตรวจ CEA

ตรวจเลือดในอุจจาระ stool occult blood | BNH Hospital

4.ตรวจเลือดในอุจจาระ stool occult blood

การตรวจเลือดในอุจจาระ หรือ Stool Occult Blood Test (FOBT) เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงการตรวจหาสาเหตุของเลือดออกในทางเดินอาหารที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คำว่า “Occult” หมายถึง “ซ่อนเร้น” ซึ่งในการตรวจนี้ จะใช้วิธีการทางเคมีในการตรวจหาเลือดที่อาจปะปนอยู่ในอุจจาระ แต่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า

Stool Occult Blood Test คืออะไร?

Stool Occult Blood Test เป็นการตรวจหาปริมาณเลือดที่อาจแฝงอยู่ในอุจจาระ การพบเลือดในอุจจาระสามารถบ่งชี้ถึงการมีแผลหรือรอยโรคในทางเดินอาหารส่วนต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึงแผลในกระเพาะอาหาร ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งมะเร็งลำไส้ใหญ่

ประเภทของ Stool Occult Blood Test

การตรวจ Stool Occult Blood Test มีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ

  1. Guaiac-Based Fecal Occult Blood Test (gFOBT) : ใช้สารเคมีที่เรียกว่า “Guaiac” ในการตรวจหาเลือด วิธีนี้ต้องการตัวอย่างอุจจาระจากผู้ป่วยสามวันต่อเนื่องเพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจพบเลือด
  2. Fecal Immunochemical Test (FIT) : ใช้แอนติบอดีในการตรวจหาโปรตีนในเลือดที่มีอยู่ในอุจจาระ วิธีนี้มีความไวและแม่นยำมากกว่า gFOBT และไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือยาก่อนการตรวจ

ขั้นตอนการตรวจ Stool Occult Blood Test

การตรวจ Stool Occult Blood Test ทำได้ง่ายและไม่เจ็บปวด โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. การเก็บตัวอย่างอุจจาระ
    • ผู้ป่วยจะได้รับชุดเก็บตัวอย่างอุจจาระจากแพทย์ ซึ่งในชุดนี้จะมีอุปกรณ์สำหรับเก็บตัวอย่างที่สะอาดและปลอดเชื้อ
    • ตัวอย่างอุจจาระจะถูกเก็บใส่ในภาชนะที่จัดเตรียมไว้ และส่งกลับไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อทำการตรวจวิเคราะห์
  2. การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
    • ในห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างอุจจาระจะถูกทดสอบโดยใช้สารเคมีหรือแอนติบอดีเพื่อตรวจหาปริมาณเลือดที่อาจซ่อนเร้นอยู่
    • ผลการตรวจจะถูกส่งกลับไปยังแพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วยเพื่อทำการวิเคราะห์และประเมินผล
ขั้นตอนการตรวจ Stool Occult Blood Test

ความสำคัญของการตรวจ Stool Occult Blood Test

การตรวจ Stool Occult Blood Test เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • ตรวจพบในระยะแรก: มะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน การตรวจ Stool Occult Blood Test สามารถช่วยในการตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะแรก ทำให้มีโอกาสในการรักษาและหายจากโรคได้มากขึ้น
  • ตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ: นอกจากมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว การตรวจพบเลือดในอุจจาระยังอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร หรือติ่งเนื้อในลำไส้

ข้อจำกัดของ Stool Occult Blood Test

แม้ว่าการตรวจ Stool Occult Blood Test จะมีความสำคัญ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรพิจารณา

  • ไม่สามารถระบุสาเหตุของเลือดออกได้: การตรวจพบเลือดในอุจจาระไม่สามารถระบุได้ว่าเลือดนั้นมาจากแหล่งใดในทางเดินอาหาร ดังนั้นหากพบเลือดในอุจจาระ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด
  • ผลลบปลอมและผลบวกปลอม: การตรวจนี้อาจมีผลลบปลอม (False Negative) หรือผลบวกปลอม (False Positive) ซึ่งหมายถึงการไม่พบเลือดในอุจจาระในกรณีที่มีมะเร็งอยู่ หรือการพบเลือดในอุจจาระโดยไม่มีมะเร็งจริง ๆ

สรุป

สำหรับ 4 วิธีที่กล่าวมาเป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ไม่ต้องใช้การส่องกล้อง (Colonoscopy) เหมาะกับผู้ที่กลัวการส่องกล้องทางเดินอาหาร หรือยังไม่พร้อมที่จะตรวจคัดกรองด้วยวิธีนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีที่แม่นยำที่สุดในการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ จากวิธีการตรวจทั้งหมด คือ การส่องกล้องทางเดินอาหาร (Colonoscopy) โดยสามารถตรวจพบและรักษาได้ในขั้นตอนเดียว การตรวจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45-50 ปีขึ้นไป 

 

แต่บุคคลที่มีประวัติคนในครอบครัวญาติสายตรงของตน (พ่อแม่พี่น้อง) ป่วยด้วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ให้ตามประวัติว่าญาติสายตรงของตนที่ป่วยด้วยโรคดังกล่าว เริ่มป่วยที่อายุเท่าไหร่ แล้วนำอายุนั้นลบไปอีก 10 ก็จะได้อายุที่ต้องเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่อายุลบ 10 มากกว่า 40 ปี ให้เริ่มตรวจที่ตอนอายุ 40 ปี ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. มีพ่อป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อตอนอายุ 40 ปี ดังนั้น อายุที่ นาย ก. ควรจะเริ่มรับการตรวจคัดกรองลำไส้ใหญ่ คือ 45-10 = 35 ปี หรือ นาย ข. มีแม่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่ออายุ 70 ปี 70-10 = 60 ซึ่งมากกว่า 40 ดังนั้น อายุที่นาย ข. ควรจะเริ่มรับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่คือ 40 ปี

อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม

ให้ "การส่องกล้องทางเดินอาหาร" ของคุณเป็นเรื่องง่าย❗️

หมดกังวลเรื่องคิวนาน ! แผนก Digestive Care Centre โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

✔️บริการเต็มรูปแบบทุกวัน ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น เราก็พร้อมให้บริการส่องกล้องทางเดินอาหารแบบครบวงจรทุกวัน

✔️ สะดวกและมั่นใจ ด้วยการเตรียมลำไส้ในช่วงเช้า และเข้ารับการส่องกล้องในช่วงบ่าย
✔️ ดูแลพิเศษ โดยพยาบาลผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนของการเตรียมลำไส้
✔️ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สำหรับการเตรียมลำไส้

การส่องกล้องทางเดินอาหารที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

  • มีทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ทางระบบทางเดินอาหาร คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
  • มีเครื่องมือที่ทันสมัย ส่องกล้องด้วย AI + NBI เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น
  • มีห้องพักสำหรับการเตรียมตัวส่องกล้องแบบส่วนตัว หมดความกังวลแม้คุณมาเองเพียงลำพัง
  • หากมีการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ร่วมด้วย ที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอชมีทีมพยาบาลเฉพาะทางดูแล และเตรียมยาระบายให้ท่าน ตามกระบวนการและเวลาที่เหมาะสม หมดกังวลเรื่องถ่ายยาก ถ่ายไม่หมด หรือปวดขับถ่ายระหว่างเดินทาง
  • หากตรวจพบความผิดปกติสามารถดูแล รักษาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
  • สะดวก สบาย ครบ จบใน 1 วัน ทั้งการเตรียมลำไส้และการส่องกล้อง
พญ. ศรัณย์รัตน์

บทความโดย

พญ. ศรัณย์รัตน์ เตยวัฒนะชัย

ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบีเอ็นเอช BNH Digestive Care Centre
ตารางออกตรวจแพทย์
วันเวลาแผนก
จันทร์08:00 – 19:00ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร
อังคาร08:00 – 17:00ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร
พุธ10:00 – 18:00ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร
ศุกร์08:00 – 16:00ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร
อาทิตย์08:00 – 16:00ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร

แพ็กเกจส่องกล้องทางเดินอาหาร

อีกหนึ่งในมะเร็งร้ายใกล้ตัว ที่มักมาแบบไม่มีสัญญาณเตือน คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่

“อย่านิ่งนอนใจ มะเร็งลำไส้หายได้ ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มต้น”

ส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Gastroscopy) ราคาเหมาจ่าย รวม

  • ค่าแพทย์ส่องกล้องกระเพาะอาหาร
  • ค่าห้องส่องกล้อง
  • ค่าห้องเตรียมตัว
  • ค่ายาระบาย
  • ค่าระงับความรู้สึก (ยานอนหลับ)
  • ค่าอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์
  • ค่าบริการโรงพยาบาล

แพ็กเกจส่องกล้องตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)  ราคาเหมาจ่าย รวม

  • ค่าแพทย์ส่องกล้องลำไส้ใหญ่
  • ค่าห้องส่องกล้อง
  • ค่าห้องเตรียมลำไส้
  • ค่ายาระบายสำหรับเตรียมลำไส้
  • ค่าระงับความรู้สึก (ยานอนหลับ)
  • ค่าอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์
  • ค่าบริการโรงพยาบาล
  • ค่าห้องพักฟื้น

ส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนและส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Gastroscopy & Colonoscopy)  ราคาเหมาจ่าย รวม

  • ค่าแพทย์ส่องกล้องกระเพาะอาหาร
  • ค่าแพทย์ส่องกล้องลำไส้ใหญ่
  • ค่าห้องส่องกล้อง
  • ค่าห้องเตรียมลำไส้
  • ค่ายาระบายสำหรับเตรียมลำไส้
  • ค่าระงับความรู้สึก (ยานอนหลับ)
  • ค่าอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์
  • ค่าบริการโรงพยาบาล
  • ค่าห้องพักฟื้น
  • กรุณาทำนัดล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ
  • ราคานี้รวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว
  • แพ็กเกจนี้รวมค่ายาระงับความรู้สึกสำหรับการส่องกล้อง (Moderate sedation)
  • แพ็กเกจนี้ยังไม่รวมการใช้ยาระงับความรู้สึกโดยวิสัญญีแพทย์ (ดมยาสลบ) หากจำเป็น
  • แพ็กเกจนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายนอกเหนือการตรวจส่องกล้อง ได้แก่ ค่าตรวจชิ้นเนื้อเพิ่มเติม ค่าห้อง และค่าอาหารกรณีต้องการเข้าพักเป็นผู้ป่วยใน (แอดมิท)
  • รับบริการที่ แผนก Digestive Care Centre ชั้น 3 Zone B โรงพยาบาลบีเอ็นเอช วันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 8.00-17.00 น.
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-022-0753, 02-022-0700 ต่อ 2753, 3330

ช่องทางการซื้อแพ็กเกจ

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ที่ LINE

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ยินยอมทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
    เปิดใช้งานตลอด

    เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ของเรา เนื่องจากคุกกี้เหล่านี้ทำให้เว็บเซิร์ฟเวอร์สามารถตอบสนองต่อการกระทำของท่านได้ อีกทั้งยังช่วยในการแสดงผลหน้าเว็บต่อท่าน และยังรวมถึงมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องในระหว่างการท่องเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้จะคงอยู่จนกว่าจะสิ้นสุดการเยี่ยมชมของท่านและจะถูกลบอัตโนมัติทันที
    รายชื่อคุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ

    ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ของเราด้วยจำนวนครั้งการเข้าดูหน้าเว็บและจำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ โดยบริการวิเคราะห์เว็บจะวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้ ซึ่งเราจะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้หรือค้นหาส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ที่ควรได้รับการปรับปรุง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถระบุถึงตัวบุคคลได้ (กล่าวคือ เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถใช้เพื่อระบุตัวตนของท่านและไม่มีการเก็บรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ และที่อยู่อีเมลของท่าน) และข้อมูลเหล่านี้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติเท่านั้น
    รายชื่อคุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ

  • คุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน

    ช่วยให้เรารับรู้เมื่อท่านกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ด้วยข้อมูลนี้เราจึงสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้เป็นไปตามความต้องการของท่านได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเยี่ยมชมของท่านให้มีประสิทธิภาพและเฉพาะเจาะจงสำหรับท่านมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อมูลที่รวบรวมโดยคุกกี้เหล่านี้จะไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้
    รายชื่อคุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา

    จะอยู่บนอุปกรณ์ของท่านเพื่อบันทึกหน้าเว็บไซต์หรือลิงค์ที่ท่านได้เยี่ยมชมหรือติดตาม ข้อมูลที่ได้จะถูกใช้เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเราและแคมเปญโฆษณาของเราเพื่อให้เหมาะกับความสนใจของท่าน
    คุกกี้เพื่อการโฆษณา

บันทึก